โรคริดสีดวงตา (Trachoma)
โรคริดสีดวงตาเป็นการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุตา เกิดจากเชื้อคลามีเดียทราโคมาติส (Chlamydia trachomatis) ซึ่งมีคุณสมบัติกึ่งไวรัสกึ่งแบคทีเรีย มนุษย์เป็นแหล่งรังโรคหลัก เชื้อนี้นอกจากทำให้เกิดโรคริดสีดวงตาแล้ว ยังทำให้เกิดโรคหนองในเทียม และ โรคฝีมะม่วง ได้อีกด้วย
โรคนี้ติดต่อได้ง่ายโดยการสัมผัส เช่น การใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกัน ว่ายน้ำในแหล่งน้ำเดียวกัน หรือจากแมลงวัน แมลงหวี่ที่ตอมตาผู้ป่วยแล้วนำเชื้อไปสู่คนอื่น มักพบการติดเชื้อเป็นกลุ่มในครอบครัวหรือชุมชนเดียวกัน ในประเทศไทยพบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือพื้นที่ที่แห้งแล้ง มีฝุ่นมาก และมีแมลงชุกชุม
แม้โรคริดสีดวงตาจะเป็นสาเหตุสำคัญของความพิการทางตา แต่ผู้ป่วยบางรายอาจหายเองได้ในระยะต้น ส่วนผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนมักเกิดจากการติดเชื้อซ้ำบ่อยครั้ง และมีปัจจัยเสริม เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ภาวะขาดอาหาร หรือขาดวิตามิน
อาการของโรค
โรคริดสีดวงตาสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่
- ระยะเยื่อบุตาอักเสบ หลังรับเชื้อประมาณ 1 สัปดาห์ จะเริ่มมีอาการคันตา เคืองตา น้ำตาไหล ตาแดงเล็กน้อย อาจมีขี้ตา มักเป็นทั้งสองข้าง อาการคล้ายเยื่อบุตาอักเสบจากเชื้ออื่น บางคนหายเอง แต่บางรายอาจเรื้อรังนาน 1–2 เดือนและเข้าสู่ระยะที่ 2
- ระยะเป็นริดสีดวง อาการจะลดลงจากระยะแรก เมื่อพลิกเปลือกตาบนจะเห็นตุ่มเล็กสีเหลืองด้านใน และอาจพบแผ่นเยื่อสีเทาที่ตาดำส่วนบนพร้อมเส้นเลือดฝอยที่แทรกเข้าไป เรียกว่า "แพนนัส" (pannus) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้ ต่างจากโรคภูมิแพ้ทั่วไป ระยะนี้อาจอยู่นานเป็นเดือนหรือปี การรักษาต้องเริ่มทำในระยะนี้
- ระยะเป็นแผลเป็น ผู้ป่วยแทบไม่มีอาการ ตุ่มเล็ก ๆ ที่เปลือกตาบนด้านในจะยุบหายไป แต่จะมีพังผืดมาแทนที่ กลายเป็นแผลเป็น ส่วนแพนนัสที่ตาดำยังคงปรากฏให้เห็น แผลเป็นเกิดจากเซลล์เยื่อบุผิวเหี่ยวย่น เซลล์สร้างเมือกตาย และถูกแทนที่ด้วยคอลลาเจน ระยะนี้อาจนานหลายปีเช่นกัน ยารักษาไม่ค่อยได้ผล
- ระยะแทรกซ้อน ระยะนี้โรคจะหายไปเองแม้ไม่ได้รับการรักษา แต่จะเหลือแผลเป็นที่ทำให้ขนตางุ้มเข้าไปแทงตาดำตลอดเวลา เกิดเป็นแผลเรื้อรังที่กระจกตา ทำให้สายตามืดมัว และแผลเป็นอาจอุดกั้นท่อน้ำตาทำให้น้ำตาไหลตลอดเวลา หรืออาจทำให้ต่อมน้ำตาไม่ทำงานทำให้ตาแห้ง หรือบางรายถ้ามีเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติมจะทำให้ตาดำเป็นแผลมากขึ้นจนตาบอดในที่สุด
การวินิจฉัยโรค
เนื่องจากอาการของโรคริดสีดวงตาในระยะแรกคล้ายกับอาการของเยื่อบุตาอักเสบจากสาเหตุอื่นทั่วไปมาก การวินิจฉัยในระยะนี้อาจยังทำไม่ได้ แต่ควรสงสัยว่าเป็นอาจริดสีดวงตาเมื่อมีการอักเสบเรื้อรังเป็นเดือน ๆ และอยู่ในท้องถิ่นที่มีโรคนี้ชุกชุม
โดยทั่วไปแพทย์จะวินิจฉัยโรคนี้จากการตรวจพบอย่างน้อย 2 ใน 4 ลักษณะนี้ตั้งแต่ระยะเป็นริดสีดวงเป็นต้นไป
- มีตุ่มสีเหลืองที่เปลือกตาบนด้านใน
- มีรอยแผลเป็นระหว่างตุ่มในข้อ 1
- มีตุ่มเล็ก ๆ ที่ขอบบนของตาดำ
- มีหลอดเลือดจากตาขาวเข้ามาสู่ตาดำ (กระจกตา)
การส่งน้ำจากเยื่อบุตาตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น
- ซีโรโลยี ได้แก่ NAATs, DFA, EIA
- การเพาะเลี้ยงเชื้อคลาไมเดียในเซลล์
- การตรวจหา intracytoplasmic inclusions ด้วย Giemsa cytology
แต่การตรวจเหล่านี้มักซับซ้อน ใช้เวลานาน ค่าใช้จ่ายสูง และอาจมีผลลบลวง โดยเฉพาะหากผู้ป่วยเคยใช้ยาปฏิชีวนะหยอดตามาก่อน
การรักษา
การรักษาในระยะที่ 1 และ 2 ได้ผลดี โดยใช้ยาปฏิชีวนะ สามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ แต่หากเข้าสู่ระยะที่ 3 และ 4 เชื้อจะเบาบาง การใช้ยามักไม่ได้ผลในการยับยั้งพังผืดหรือภาวะแทรกซ้อน
ยาที่ใช้ ได้แก่:
- Tetracycline หรือ Erythromycin ขนาด 1.5–2 กรัม/วัน รับประทานต่อเนื่อง 3 สัปดาห์
- Azithromycin ขนาด 1 กรัม ครั้งเดียว (เด็ก 20 มก./กก.)
- Tetracycline ขี้ผึ้งป้ายตา วันละ 2 ครั้ง ต่อเนื่อง 2 เดือน
ควรรักษาผู้ติดเชื้อทุกคนในครอบครัวพร้อมกัน เพื่อตัดวงจรการแพร่เชื้อ หากมีแผลเป็นที่เปลือกตาอาจต้องผ่าตัดแก้ไขเพื่อป้องกันการขนตาทิ่มตา ส่วนกรณีแผลเป็นกระจกตารุนแรงอาจต้องผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา
พยากรณ์โรค
หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาในระยะต้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายได้โดยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน แต่หากปล่อยให้เรื้อรังหรือติดเชื้อซ้ำบ่อยครั้ง อาจนำไปสู่การเกิดพังผืด แผลเรื้อรัง และตาบอดได้ ความรุนแรงของโรคขึ้นกับสภาพแวดล้อม การเข้าถึงการรักษา และสุขอนามัยของผู้ป่วย
การป้องกัน
ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้ วิธีการป้องกันที่สำคัญ ได้แก่
- รักษาความสะอาดของใบหน้าเสมอ ไม่ปล่อยให้เด็กเล่นฝุ่นละออง เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงตอมตา ซึ่งเป็นทางติดต่อและแพร่กระจายโรคได้ทางหนึ่ง
- กำจัดแมลงวัน โดยการกำจัดขยะให้ถูกวิธี และไม่ทิ้งขยะใกล้บ้าน
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
- ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยที่ตาแดง
สรุป
โรคริดสีดวงตาเป็นโรคตาอักเสบเรื้อรังจากเชื้อ Chlamydia trachomatis ติดต่อผ่านการสัมผัสและแมลงวัน มักพบในชุมชนที่สุขอนามัยไม่ดี หากรักษาในระยะแรกด้วยยาปฏิชีวนะจะได้ผลดีและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ แต่หากปล่อยไว้นานอาจเกิดพังผืดและทำให้ตาบอด การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรักษาความสะอาดส่วนบุคคล การควบคุมแมลง และการรักษาผู้ป่วยพร้อมกันทั้งครอบครัว