โรคโบทูลิซึม (Botulism)

โรคนี้เกิดจากสารพิษโบทูลินั่ม (Botulinum toxin) ซึ่งสร้างจากแบคทีเรียกรัมบวกที่ชื่อ Clostridium botulinum เชื้อนี้เจริญเติบโตได้ดีในภาวะไร้ออกซิเจน และในระหว่างการเจริญเติบโตจะผลิตสารพิษโบทูลินั่มออกมา หากสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม เชื้อจะเปลี่ยนเป็นสปอร์ซึ่งทนความร้อนและความแห้งได้ดี การทำลายสปอร์จำเป็นต้องใช้อุณหภูมิสูงกว่า 120°C นานกว่า 30 นาที แต่ตัวสารพิษเองไม่ทนความร้อนและถูกทำลายได้ง่ายกว่าสปอร์

คนติดโรคโบทูลิซึมได้ 4 ทางคือ

  1. จากการกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ C. botulinum หรือสารพิษโบทูลินั่ม (เป็นสาเหตุที่พบมากที่สุด)
  2. จากบาดแผลที่สกปรก
  3. จากเชื้อ C. botulinum ในลำไส้สร้างสารพิษโบทูลิซึมขึ้นมาเอง พบเฉพาะในทารกแรกเกิด
  4. จากการสูดดมสารพิษโบทูลินั่มที่ใช้เป็นอาวุธชีวภาพ

อาการของโรค

หลังสารพิษโบทูลินั่มเข้าสู่ร่างกาย จะมีระยะฟักตัวตั้งแต่ 6 ชั่วโมงจนถึง 14 วัน ผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษจากอาหารมักเริ่มด้วยอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และถ่ายเหลว คล้ายอาหารเป็นพิษทั่วไป ต่อมาสารพิษจะยับยั้งการส่งสัญญาณประสาท ทำให้เกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรง เริ่มจากบริเวณใบหน้า เช่น หนังตาตก กลืนลำบาก พูดไม่ชัด เสียงขึ้นจมูก มองเห็นภาพซ้อน ตาพร่ามัว ปากคอแห้ง และเจ็บคอ

อาการอ่อนแรงมักลุกลามจากบนลงล่าง ไปยังกล้ามเนื้อกระบังลม ลำไส้ แขน และขา ส่งผลให้หายใจลำบาก (มักเกิดภายใน 1–3 วันหลังเริ่มอาการ) ผู้ป่วยอาจท้องอืดเพราะการเคลื่อนไหวของลำไส้ลดลง มีท้องผูก และปัสสาวะไม่ออก แต่ยังมีสติและไม่มีอาการชา เนื่องจากสารพิษไม่ผ่านเข้าสู่สมองหรือไขสันหลัง

ภาวะอ่อนแรงนี้อาจอยู่นานหลายสัปดาห์ ทำให้กลืนลำบากและเสี่ยงต่อการสำลักจนเกิดปอดอักเสบแทรกซ้อนได้ หากกล้ามเนื้อหายใจล้มเหลวอาจทำให้เสียชีวิตได้

การวินิจฉัยโรค

โรคโบทูลิซึมไม่มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการพื้นฐานที่ช่วยยืนยันการวินิจฉัย ต้องใช้ประวัติและอาการแสดงเท่านั้น โดยทั่วไปอาการเริ่มแรกจะคล้ายโรคอาหารเป็นพิษอื่น ๆ ต่อเมื่อเกิดอาการอ่อนแรงแล้วจึงจะวินิจฉัยได้ แต่ก็มีโรคที่เกิดจากพิษของปลาปักเป้า (Tetrodotoxin) ที่มีอาการคล้ายกันและเกิดจากอาหารเช่นกัน มีข้อแตกต่างที่ใช้แยกระหว่าง 2 โรคนี้ไว้ดังนี้

  1. พิษของปลาปักเป้าจะเกิดเร็วกว่า ส่วนใหญ่เกิดภายในเวลา 24 ชั่วโมงหลังรับประทานพวกปลาปักเป้า แมงดา ไข่แมงดา หรือกบที่มีสารพิษชนิดนี้เข้าไป (ไม่ว่าจะปรุงสุกหรือไม่)
  2. ลักษณะอาการอ่อนแรงของโรคโบทูลิซึมจากเริ่มจากบนลงล่าง แต่พิษปลาปักเป้าจะเริ่มจากล่าง (ขา) ขึ้นบน (ใบหน้า)
  3. โรคโบทูลิซึมจะไม่พบอาการชา แต่พิษของปลาปักเป้ามักมีชารอบปากและปลายมือปลายเท้า
  4. อาการอ่อนแรงของพิษปลาปักเป้ามักหายภายใน 2-3 วัน แต่ของโรคโบทูลิซึมจะอยู่นาน 6-8 สัปดาห์

โรคที่ต้องวินิจฉัยแยกอื่น ๆ ได้แก่โรคที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เช่น Guillain-Barré syndrome, Myasthenia gravis, Lambert-Eaton syndrome, โรคพิษสุนัขบ้า, บาดทะยัก, และพิษจากยาฆ่าแมลง ดังนั้นประวัติก่อนเกิดอาการจึงสำคัญมาก

การตรวจห้องปฏิบัติการ เช่น การเพาะเชื้อ C. botulinum การฉีดตัวอย่างอาหารที่สงสัยให้หนูทดลอง หรือการตรวจด้วย Immunoassay และ PCR แม้จะช่วยยืนยันโรคได้ แต่ต้องอาศัยห้องปฏิบัติการเฉพาะทางและใช้เวลานาน สำหรับประเทศไทย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานที่สามารถทำการตรวจยืนยันเหล่านี้ได้



การรักษา

การรักษาโรคโบทูลิซึมที่สำคัญคือการประคับประคองการหายใจและการขับถ่าย การให้ยาต้านพิษ และการป้องกันภาวะแทรกซ้อน

ยาต้านพิษได้แก่ Botulinum antitoxin ให้ทางหลอดเลือดดำแบบช้า ๆ เพียงครั้งเดียว ก่อนให้ยาจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือภาวะแพ้รุนแรง (anaphylaxis) ซึ่งพบได้ประมาณ 10% ประสิทธิภาพของยาสูงสุดหากให้ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเริ่มอาการ จะช่วยยับยั้งไม่ให้อาการลุกลามและฟื้นตัวเร็วขึ้น หากให้ช้ากว่านั้นถึงแม้ประสิทธิภาพลดลง แต่ก็ยังอาจมีประโยชน์

พยากรณ์โรค

ผู้ป่วยโบทูลิซึมที่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะการช่วยหายใจและการให้ยาต้านพิษ มักสามารถฟื้นตัวได้ แต่ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ อัตราการเสียชีวิตลดลงอย่างมากหากได้รับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีเครื่องช่วยหายใจและการดูแลใกล้ชิด แต่หากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตสูงจากภาวะหายใจล้มเหลวหรือการติดเชื้อแทรกซ้อน

การป้องกัน

โรคโบทูลิซึมสามารถป้องกันได้ด้วยการรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารกระป๋องที่บิดเบี้ยวหรือผิดปกติ แม้จะนำมาอุ่นแล้วก็ตาม และเมื่อมีบาดแผลควรล้างทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาดทันทีเพื่อลดความเสี่ยง

สรุป

โรคโบทูลิซึมเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากสารพิษของ Clostridium botulinum มีอาการเด่นคือกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่ลุกลามจากบนลงล่าง และอาจนำไปสู่การหายใจล้มเหลว จำเป็นต้องวินิจฉัยแยกจากโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกัน การรักษาที่สำคัญคือการช่วยหายใจ การดูแลแบบประคับประคอง และการให้ยาต้านพิษ การป้องกันทำได้โดยการเลือกรับประทานอาหารที่ปลอดภัย และการรักษาความสะอาดของบาดแผล หากได้รับการรักษาทันท่วงที พยากรณ์โรคมักดีและสามารถฟื้นตัวได้