โรคฝีที่รังไข่ (Tubo-ovarian abscess)

โรคฝีที่รังไข่เป็นภาวะที่ร่างกายพยายามควบคุมการลุกลามของหนองในอุ้งเชิงกราน เมื่อเกิดการติดเชื้อใด ๆ ในบริเวณนี้ เนื้อเยื่อรอบ ๆ จะห่อหุ้มหนองไว้เพื่อจำกัดการแพร่กระจาย ทำให้เกิดเป็นฝีเฉพาะที่ ซึ่งอาจรวมเอารังไข่ ท่อนำไข่ และปีกมดลูกเข้ามาด้วย ฝีที่เกิดขึ้นมักเป็นก้อนกดเจ็บและคลำได้จากหน้าท้อง โดยส่วนมากมักเกิดเพียงข้างใดข้างหนึ่งของมดลูก

บางตำราจัดโรคฝีที่รังไข่เป็นส่วนหนึ่งของโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ เนื่องจากสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการลุกลามของโรคนี้ แต่ฝีที่รังไข่ก็สามารถเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น การใส่ห่วงคุมกำเนิด, การผ่าตัดช่องท้องที่มีการติดเชื้อ, การกระตุ้นรังไข่หรือเก็บไข่ในสตรีมีบุตรยาก, การติดเชื้อถุงน้ำรังไข่ หรือการแตกของลำไส้และไส้ติ่ง

อาการของโรค

ร้อยละ 80–90 ของผู้ป่วยมักมีอาการสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ไข้, ปวดท้องน้อย, และคลำพบก้อนบริเวณตำแหน่งที่เจ็บ หากเกิดจากอุ้งเชิงกรานอักเสบ ผู้ป่วยมักมีอาการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน เช่น ตกขาวสีเหลืองมีกลิ่น, เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ บางครั้งอาการนำได้รับการรักษาเพียงบางส่วน ไข้จะลดลงช่วงหนึ่งแล้วกลับมาเป็นใหม่ อาการปวดท้องอาจไม่รุนแรงเท่าแรกเกิดโรค และก้อนในท้องน้อยจะอยู่ลึก การคลำพบอาจใช้เวลา 2–3 สัปดาห์

หากฝีเกิดจากสาเหตุอื่น ประวัติผู้ป่วยจะช่วยในการวินิจฉัย แต่บางครั้งก็ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ตั้งแต่ครั้งแรก

ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่สุดคือฝีแตก ทำให้ปวดท้องรุนแรงทั่วไปเหมือนภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบทุติยภูมิ ไข้สูง และมีความเสี่ยงต่อการช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด

การวินิจฉัยโรค

การวินิจฉัยโรคฝีที่รังไข่ต้องแยกจากภาวะท้องนอกมดลูก ฝีไส้ติ่ง (ถ้าก้อนอยู่ทางขวา) และภาวะบิดตัวของถุงน้ำรังไข่ การวินิจฉัยอาศัยประวัติผู้ป่วย การตรวจร่างกาย และตรวจภายใน การตรวจเลือด ปัสสาวะ และอัลตราซาวด์ หรือ CT/MRI ของอุ้งเชิงกรานช่วยสนับสนุนการวินิจฉัย บางรายอาจต้องส่องกล้องตรวจภายในอุ้งเชิงกราน

ในรายที่ฝีแตก การวินิจฉัยมักทราบได้ระหว่างผ่าตัดเพื่อแก้ไขภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบทุติยภูมิ



การรักษา

การรักษาโรคฝีที่รังไข่ต้องใช้การผ่าตัดร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะ หลังการผ่าตัดมักต้องตัดรังไข่และท่อนำไข่ข้างที่มีฝีออก ซึ่งอาจส่งผลต่อภาวะมีบุตร

พยากรณ์โรค

พยากรณ์โรคขึ้นอยู่กับขนาดของฝี, ระยะเวลาที่เป็น และการรักษา หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายได้ แต่หากฝีแตกก่อนการรักษาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งเพิ่มอัตราการเสียชีวิตได้

การป้องกัน

การป้องกันโรคฝีที่รังไข่เน้นลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน รวมถึงการดูแลสุขอนามัยในการใส่ห่วงคุมกำเนิด, การป้องกันการติดเชื้อหลังผ่าตัด, และการดูแลสุขภาพสตรีให้เหมาะสม รวมถึงการติดตามโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบอย่างใกล้ชิด

สรุป

โรคฝีที่รังไข่เกิดจากการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานและการลุกลามของหนองที่ร่างกายพยายามจำกัดขอบเขต ทำให้เกิดก้อนกดเจ็บในท้องน้อย การวินิจฉัยต้องอาศัยประวัติ การตรวจร่างกาย และตรวจอัลตราซาวด์หรือ MRI การรักษาหลักคือผ่าตัดร่วมกับยาปฏิชีวนะ แม้การรักษาจะได้ผลดี แต่การเกิดฝีซ้ำหรือภาวะแทรกซ้อนยังคงเป็นความเสี่ยง ดังนั้นการป้องกันและการติดตามโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบเป็นสิ่งสำคัญ