โรคซิฟิลิส (Syphilis)

ซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สำคัญ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดเกลียว Treponema pallidum ซึ่งไม่สามารถเพาะเชื้อบนอาหารเลี้ยงเชื้อทั่วไปได้เพราะต้องอาศัยอยู่ในเซลล์มนุษย์เท่านั้น เชื้อนี้สามารถตรวจพบได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ชนิด darkfield มีลักษณะเป็นเส้นเกลียว ยาวประมาณ 5–15 ไมครอน

เช่นเดียวกับโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ซิฟิลิสสามารถแพร่จากแม่ไปสู่ลูกในครรภ์ ทำให้เกิด โรคซิฟิลิสแต่กำเนิด ได้

อาการของโรค

โรคซิฟิลิสแบ่งการดำเนินโรคออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้

  1. ระยะเป็นแผลที่อวัยวะเพศ (Primary syphilis)
  2. หลังติดเชื้อ 2–6 สัปดาห์จะเกิดแผลตื้น ขอบแข็ง ไม่เจ็บ เรียกว่า “แผลริมแข็ง” (chancre) มักพบที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก ช่องคลอด ปากมดลูก ริมฝีปาก หรือลิ้น แผลมักเป็นเดี่ยวและหายได้เองภายใน 2–4 สัปดาห์ โดยมีต่อมน้ำเหลืองโตใกล้เคียงร่วมด้วย การตรวจเลือดในช่วงนี้อาจยังไม่พบความผิดปกติ

  3. ระยะออกผื่น (Secondary syphilis)
  4. ผื่นจะเกิดหลังรับเชื้อแล้วประมาณ ½ - 6 เดือน อาจเกิดขณะที่แผลริมแข็งกำลังจะหายหรือหายไปแล้ว ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลแดงกระจายทั่วตัวรวมทั้งที่ฝ่ามือฝ่าเท้า ไม่คัน ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สบาย มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ ปวดตามข้อ ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ อาการเหล่านี้จะเป็นอยู่นาน 1-3 เดือนก็จะหายไปเองอีกเช่นกัน การตรวจเลือดในช่วงนี้จะให้ผลบวก

  5. ระยะแฝง (Latent syphilis)
  6. ผู้ป่วยจะไม่มีอาการใด ๆ เป็นเวลานาน 2–30 ปี วินิจฉัยได้จากการตรวจเลือดเท่านั้น ในหญิงตั้งครรภ์เชื้อสามารถแพร่สู่ทารกได้ บางครั้งอาจเกิดผื่นซ้ำคล้ายระยะ Secondary

  7. ระยะแพร่กระจาย (Tertiary syphilis)
  8. ประมาณ 15% ของผู้ติดเชื้อจะเข้าสู่ระยะแพร่กระจายหลังไม่มีอาการใดใดมาเป็นเวลาหลายปี โดยจะเกิดก้อนเนื้อแข็งเรียกว่ากัมม่า (Gammas) ตามอวัยวะต่าง ๆ ทำให้เนื้อเยื่อถูกทำลาย เช่น จมูกโหว่ ใบหน้าผิดรูป กระดูกเปราะหักง่าย หรือลำไส้อุดตัน หากเชื้อเข้าสู่สมองอาจทำให้ความจำเสื่อม ชัก วิกลจริต อัมพาต สูญเสียการมองเห็นและการได้ยิน ถ้าเชื้อเข้าไขสันหลังก็จะทำให้เป็นอัมพาต ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะได้ หากเข้าสู่หัวใจและหลอดเลือด อาจทำให้ลิ้นหัวใจรั่ว หลอดเลือดแดงโป่งพอง และหัวใจล้มเหลวได้

    การตรวจเลือดในระยะนี้อาจให้ผลลบได้ถึง 30%



การวินิจฉัยโรค

การวินิจฉัยขึ้นอยู่กับระยะของโรค ในระยะแรกสามารถตรวจเชื้อได้จากแผลโดยใช้กล้อง darkfield ระยะออกผื่นสามารถนำเลือดไปส่องกล้อง darkfield หรือตรวจเลือดซิฟิลิส สำหรับผู้ที่มีอาการทางระบบประสาทหรืออาการอื่น ๆ หลายระบบที่ชวนให้สงสัยว่าจะเป็นโรคซิฟิลิสระยะแพร่กระจาย ควรตรวจซิฟิลิสทั้งในเลือดและในน้ำไขสันหลัง

การตรวจวินิจฉัยโรคซิฟิลิส

ปัจจุบันการตรวจเลือดเพื่อคัดกรองและยืนยันโรคซิฟิลิสมีการปรับเปลี่ยนแนวทาง โดยใช้การตรวจแบบ reverse algorithm ซึ่งเริ่มจากการตรวจด้วยวิธีที่มีความจำเพาะสูงก่อน แล้วจึงตรวจยืนยันหรือแยกโรคเพิ่มเติม

แนวทางปัจจุบัน

  1. การตรวจคัดกรอง (Screening test) มักใช้ treponemal test ที่มีความไวและความจำเพาะสูง เช่น EIA, CLIA, CMIA หรือ Rapid treponemal test
    - หากผลเป็น ลบ → ถือว่าไม่มีการติดเชื้อ (ยกเว้นหากเพิ่งได้รับเชื้อไม่นาน อาจต้องตรวจซ้ำใน 2–4 สัปดาห์)
    - หากผลเป็น บวก → ต้องตรวจยืนยันต่อ
  2. การตรวจยืนยัน (Confirmatory test) ใช้วิธี treponemal test อีกชนิดที่ต่างจากการตรวจแรก เช่น TPHA, TPPA หรือ FTA-ABS
    - หากผลเป็น บวก สอดคล้องกัน → ยืนยันว่ามีการติดเชื้อซิฟิลิส (ปัจจุบันหรือในอดีต)
    - หากผลไม่สอดคล้องกัน → ต้องพิจารณาตรวจเพิ่มเติมหรือเก็บตัวอย่างใหม่
  3. การตรวจเพื่อประเมินกิจกรรมของโรค (Disease activity) ใช้ non-treponemal test เช่น VDRL หรือ RPR เพื่อตรวจหาระดับแอนติบอดี (ไตเตอร์)
    - ใช้ติดตามผลการรักษา โดยหากไตเตอร์ลดลง ≥4 เท่า ภายในระยะเวลาที่กำหนด ถือว่าการรักษาได้ผล
    - ระดับไตเตอร์ยังช่วยบอกความรุนแรงหรือระยะของโรคได้

สรุปขั้นตอน เริ่มจาก treponemal test (เช่น EIA/CLIA/CMIA) → ถ้าบวก ตรวจยืนยันด้วย treponemal test อีกชนิด → ถ้ายืนยันว่าติดเชื้อ ตรวจ VDRL หรือ RPR เพื่อประเมินกิจกรรมของโรคและติดตามการรักษา

การแปลผลตรวจเลือดซิฟิลิสดูได้ ที่นี่



การรักษา

การรักษาที่สำคัญคือการแจ้งคู่นอนเพื่อรับการตรวจและรักษาพร้อมกัน การรักษามีดังนี้

  • ระยะ Primary, Secondary และ Latent (น้อยกว่า 1 ปี): Benzathine penicillin G 2.4 ล้านยูนิต ฉีดเข้ากล้ามครั้งเดียว
  • กรณีแพ้ยา Penicillin อาจใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งดังต่อไปนี้

    • Doxycycline 100 mg กินวันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร นาน 14 วัน
    • Tetracycline 500 mg กินวันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร นาน 14 วัน
    • Azithromycin 2 gm กินครั้งเดียว
    • Ceftriaxone 1-2 gm ฉีดเข้าหลอดเลือดดำหรือเข้ากล้ามเนื้อ วันละครั้ง นาน 10-14 วัน
    • Erythromycin 500 mg กินวันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร นาน 14 วัน

  • ระยะแฝงนานกว่า 1 ปี หรือ Tertiary syphilis: Benzathine penicillin G 2.4 ล้านยูนิต ฉีดเข้ากล้าม สัปดาห์ละครั้ง 3 สัปดาห์
  • กรณีแพ้ยา Penicillin อาจใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งดังต่อไปนี้

    • Doxycycline 100 mg กินวันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร นาน 28 วัน
    • Tetracycline 500 mg กินวันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร นาน 28 วัน

  • ซิฟิลิสระบบประสาท: Penicillin G 18–24 ล้านยูนิต/วัน ให้ทางหลอดเลือดดำ แบ่งหยดทุก 4 ชั่วโมง นาน 10–14 วัน
  • กรณีแพ้ยา Penicillin ให้ใช้ Ceftriaxone 2 g ฉีดเข้า หลอดเลือดดำหรือเข้ากล้าม วันละครั้ง นาน 10-14 วัน (Ceftriaxone มีโอกาส cross reaction กับผู้ที่แพ้ penicillinได้ 10%)

หญิงตั้งครรภ์ที่แพ้ Penicillin ควรได้รับการทำ desensitization ก่อน แล้วรักษาด้วย Penicillin เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ทารก หลังรักษาต้องติดตามระดับ VDRL ทุก 1–3 เดือน จนกว่าจะเป็นลบ

การพยากรณ์โรค

หากตรวจพบและรักษาในระยะแรก ๆ พยากรณ์โรคมักดี ผู้ป่วยหายขาดได้โดยไม่มีผลแทรกซ้อน แต่หากไม่ได้รับการรักษา โรคอาจลุกลามไปสู่ระยะ Tertiary ซึ่งอันตรายและอาจถึงชีวิต แม้รักษาแล้วก็ยังสามารถติดเชื้อใหม่ได้หากมีพฤติกรรมเสี่ยง

การป้องกัน

การป้องกันทำได้โดยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ไม่เที่ยวหญิงบริการ ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงการดื่มสุราเพราะทำให้ขาดสติ รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน และพบแพทย์เพื่อตรวจเมื่อสงสัยการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์

สรุป

โรคซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีการดำเนินโรคหลายระยะ ตั้งแต่ไม่มีอาการจนถึงรุนแรงถึงชีวิต หากตรวจพบและรักษาได้เร็วโดยเฉพาะในระยะแรก ผู้ป่วยจะหายขาดได้ง่าย การป้องกันที่สำคัญคือการใช้ถุงยางอนามัย ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ และรักษาคู่นอนพร้อมกัน เพื่อลดการแพร่กระจายและภาวะแทรกซ้อนในอนาคต