โรคค็อกสิดิออยโดไมโคสิส (Coccidioidomycosis)
โรคนี้พบได้น้อยในประเทศไทย สาเหตุเกิดจากเชื้อรา Coccidioides immitis ซึ่งมี 2 รูปแบบการดำรงชีวิต ได้แก่ รูปเส้นใย (mycelial form) ที่พบในดินบริเวณแห้งแล้งกึ่งทะเลทราย โดยมีลักษณะเป็นเส้นยาวคล้ายถังเบียร์ต่อกัน และรูปยีสต์ (spherule) ที่พบเมื่ออยู่ในร่างกายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง เชื้อจะอยู่ใต้ดิน เมื่อสิ่งแวดล้อมเหมาะสม เชื้อจะเจริญบนผิวดินและสร้างสปอร์ที่สามารถฟุ้งกระจายไปตามลมและฝุ่น มนุษย์ติดเชื้อโดยการสูดสปอร์เหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย
เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ประมาณร้อยละ 60 ของผู้ติดเชื้อจะไม่แสดงอาการ ส่วนอีกร้อยละ 40 จะมีอาการคล้ายไข้หวัด ได้แก่ มีไข้ ไอ อ่อนเพลีย เจ็บหน้าอก และบางรายมีตุ่มหรือผื่นแดงที่ผิวหนัง อาการมักหายได้เอง อย่างไรก็ตาม เชื้อสามารถแฝงตัวและกลับมาแสดงอาการได้อีกหากภูมิคุ้มกันลดลง
อาการของโรค
โรคค็อกสิดิออยโดไมโคสิสแสดงอาการได้หลายระบบ โดยเริ่มจากระบบหายใจและผิวหนัง และอาจลุกลามแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น แบ่งได้เป็น 3 รูปแบบหลัก ได้แก่
- แบบเฉียบพลัน (Acute coccidioidomycosis)
อาการเกิดขึ้นหลังรับเชื้อ 1–3 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มักไม่รุนแรง มีไข้ ไอ อ่อนเพลีย ปวดข้อ และอาจมีตุ่มนูนแดงกดเจ็บ (erythema nodosum) บริเวณหน้าแข้ง หลัง อก และแขน อาการจะเป็นอยู่หลายสัปดาห์ก่อนที่จะหายไปเอง ในรายที่อาการรุนแรงจะแสดงอาการทางระบบหายใจชัดขึ้น ไอมาก เจ็บหน้าอก เอกซเรย์มีหน่วยเล็ก ๆ คล้ายก้อนอยู่ในปอด
- แบบเรื้อรัง (Chronic coccidioidomycosis) เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อหมดในระยะเฉียบพลัน
เชื้อจะก่อให้เกิดการอักเสบของปอดแบบเรื้อรัง ผู้ป่วยมีไข้ต่ำ น้ำหนักลด ไอมีเลือดปน เจ็บหน้าอก ภาพรังสีทรวงอกพบก้อนเล็ก ๆ กระจายในปอดทั้งสองข้าง (coccidioidoma) บางครั้งอาจพบเป็นโพรงหนอง (cavity with air-fluid level)
- แบบแพร่กระจาย (Disseminated coccidioidomycosis) มักพบในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยเอดส์ ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เชื้อจะแพร่จากปอดไปสู่อวัยวะต่าง ๆ ทางเลือดและน้ำเหลือง เช่น ผิวหนัง กระดูก ตับ สมอง และหัวใจ ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดกระดูก ข้อบวม ผิวหนังมีตุ่มกดเจ็บและแผลเรื้อรัง ปวดศีรษะ ปวดท้อง หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ
การวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัยที่แน่นอนต้องอาศัยการเพาะเชื้อจากเสมหะ แผล เลือด ไขกระดูก หรือ น้ำไขสันหลัง ในระยะแรกสามารถตรวจเสมหะหรือหนองด้วยน้ำยา KOH และส่องกล้องจุลทรรศน์ พบเชื้อราในรูปยีสต์ทรงกลมขนาดใหญ่ (20–200 ไมครอน) ผนังบาง ดังรูป
การตรวจทางซีโรโลยีที่ช่วยสนับสนุน ได้แก่ Coccidioidin skin test, Tube precipitin test (TP) และ Complement fixation test (CF)
การรักษา
โรคค็อกสิดิออยโดไมโคสิสแบบเฉียบพลันส่วนใหญ่ไม่ต้องรักษา ร่างกายของคนปกติสามารถรักษาหายได้เอง ในผู้ป่วยที่เป็นมากหรือในรายที่เป็นปอดอักเสบแบบเรื้อรังไปแล้วสามารถรักษาได้ด้วยยา Fluconazole หรือ Itraconazole ชนิดรับประทาน ส่วนในรายที่เป็นถึงขั้นแพร่กระจายต้องใช้ยา Amphotericin B ระยะเวลาการรักษามักไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
พยากรณ์โรค
ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติ พยากรณ์โรคมักดี อาการส่วนใหญ่หายได้เองและไม่ทิ้งความเสียหายถาวร อย่างไรก็ตาม เชื้อสามารถกลับมาก่อโรคได้หากภูมิคุ้มกันลดลง ส่วนผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องจะมีพยากรณ์โรคค่อนข้างเลวร้าย โดยเฉพาะในรายที่เชื้อแพร่กระจาย อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
การป้องกัน
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคค็อกสิดิออยโดไมโคสิส วิธีการป้องกันที่สำคัญคือการหลีกเลี่ยงการสัมผัสดินหรือฝุ่นในพื้นที่แห้งแล้งกึ่งทะเลทรายที่เป็นแหล่งระบาด หากจำเป็นต้องทำงานหรือเดินทางในพื้นที่ดังกล่าว ควรสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการฟุ้งกระจายของดิน เช่น การขุดหรือก่อสร้าง
สรุป
โรคค็อกสิดิออยโดไมโคสิส (Coccidioidomycosis) เป็นโรคติดเชื้อราที่ติดต่อผ่านการสูดหายใจเอาสปอร์จากดินและฝุ่นเข้าสู่ร่างกาย ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่บางรายอาจมีอาการรุนแรงจนถึงการแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ การวินิจฉัยต้องอาศัยการเพาะเชื้อและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การรักษาขึ้นกับความรุนแรงของโรค โดยใช้ยาต้านเชื้อราต่าง ๆ พยากรณ์โรคมักดีในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติ แต่รุนแรงในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน การลดความเสี่ยงจากการสัมผัสดินและฝุ่นในพื้นที่เสี่ยงเป็นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด