โรคงูสวัด (Shingles, Herpes zoster)

โรคงูสวัดเกิดจากเชื้อไวรัส Varicella-zoster ซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส หลังจากผู้ป่วยหายจากอีสุกอีใสแล้ว เชื้อจะยังคงแฝงตัวอยู่ในเนื้อเยื่อของเส้นประสาทใต้ผิวหนัง และไม่ก่อให้เกิดอาการใด ๆ จนกว่าร่างกายจะอ่อนแอ เช่น ภาวะเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำงานหนัก ถูกกระทบกระเทือน หรือเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ เชื้อไวรัสที่แฝงตัวอยู่จึงถูกกระตุ้นให้แบ่งตัวและทำให้เกิดการอักเสบของเส้นประสาท นำไปสู่การเกิดผื่นและตุ่มใสตามแนวเส้นประสาท พร้อมอาการปวดแสบปวดร้อนรุนแรง

โรคงูสวัดไม่สามารถติดต่อโดยตรงจากคนสู่คน แต่ผู้ที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสสามารถติดเชื้อและเกิดอีสุกอีใสได้ หากสัมผัสกับน้ำในตุ่มของผู้ป่วยงูสวัด อย่างไรก็ตาม การติดต่อไม่ง่ายเหมือนการแพร่กระจายทางการหายใจของโรคอีสุกอีใส

อาการของโรค

ก่อนเกิดผื่น 1-3 วัน ผู้ป่วยมักมีอาการปวดแปล๊บ ๆ คล้ายถูกไฟช็อต หรือมีความรู้สึกคัน แสบร้อนในตำแหน่งที่จะเกิดผื่น ร่วมกับอาจมีไข้หรือหนาวสั่น เมื่อเริ่มเกิดผื่น จะปรากฏเป็นตุ่มแดงเรียงตัวเป็นกลุ่ม จากนั้นกลายเป็นตุ่มน้ำใส กระจายตามแนวเส้นประสาทในร่างกายข้างใดข้างหนึ่ง ผู้ป่วยมักมีอาการปวดแสบปวดร้อนมาก ตุ่มน้ำจะทยอยขึ้นภายใน 4 วันแรก แล้วค่อย ๆ แห้งและตกสะเก็ดภายใน 7-10 วัน อาการปวดจะค่อย ๆ บรรเทาลง

ในผู้สูงอายุประมาณ 10-15% อาจยังคงมีอาการปวดตามแนวเส้นประสาทแม้ผื่นหายแล้ว ภาวะนี้เรียกว่า postherpetic neuralgia ซึ่งอาจเป็นอยู่นานหลายเดือน โดยร้อยละ 50 ของผู้ป่วยจะหายภายใน 3 เดือน และร้อยละ 75 จะหายภายใน 1 ปี

หากโรคเกิดบริเวณหน้าผาก ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเชื้ออาจลามเข้าตาและทำให้กระจกตาอักเสบ ซึ่งอาจกระทบต่อการมองเห็นได้

โดยทั่วไปโรคงูสวัดไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่สร้างความทุกข์ทรมานจากอาการปวดและแสบ หากเป็นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยเอดส์ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ได้รับยากดภูมิ โรคอาจลุกลามไปยังอวัยวะภายใน เช่น สมอง ปอด หรือ ตับ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

การวินิจฉัย

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคงูสวัดได้จากลักษณะอาการทางคลินิกโดยไม่จำเป็นต้องตรวจทางห้องปฏิบัติการ โรคที่อาจมีลักษณะใกล้เคียง เช่น เริม (Herpes simplex) แต่ความแตกต่างคือเริมมักเกิดที่ริมฝีปากหรืออวัยวะเพศ และผื่นไม่กระจายตามแนวเส้นประสาทเหมือนงูสวัด



การรักษา

โรคงูสวัดส่วนใหญ่สามารถหายได้เองภายใน 2-4 สัปดาห์ การรักษาหลักคือการบรรเทาอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน ดังนี้

  • ยาต้านไวรัส เช่น acyclovir, valacyclovir หรือ famciclovir ควรเริ่มใช้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีผื่นขึ้น จะช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดการแพร่กระจาย และลดความเสี่ยงการเกิดอาการปวดประสาทหลังงูสวัด (postherpetic neuralgia)
  • ยาลดปวดและการดูแลทั่วไป เช่น พาราเซตามอล ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs การประคบเย็น และการพักผ่อนให้เพียงพอ ควรรักษาความสะอาดของแผล หลีกเลี่ยงการเกาแผลเพื่อลดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
  • ยาต้านไวรัสชนิดฉีด พิจารณาในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น งูสวัดแพร่กระจาย เชื้อเข้าตา หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • การใช้สเตียรอยด์ (Prednisolone) อาจพิจารณาใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสในผู้ป่วยที่มีอาการปวดรุนแรงเฉียบพลัน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เพื่อช่วยลดการอักเสบของเส้นประสาทและบรรเทาอาการปวด อย่างไรก็ตาม ต้องใช้ในระยะสั้น และหลีกเลี่ยงการใช้เดี่ยว ๆ โดยไม่มียาต้านไวรัส เนื่องจากอาจทำให้เชื้อไวรัสแบ่งตัวมากขึ้น

การป้องกัน

ปัจจุบันมีวัคซีนที่ช่วยป้องกันโรคงูสวัดได้ 2 แบบ ได้แก่

  • วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส (Varicella vaccine) – การฉีดตั้งแต่วัยเด็กช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อครั้งแรก และลดโอกาสที่จะเกิดงูสวัดในอนาคต
  • วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด (Zoster vaccine) – พัฒนาขึ้นเฉพาะเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ควบคุมไวรัสที่แฝงตัวอยู่ในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูง สามารถลดโอกาสเกิดโรคงูสวัด รวมถึงลดความรุนแรงและโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น postherpetic neuralgia ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกายและลดโอกาสที่โรคจะกำเริบ

สรุป

โรคงูสวัดเกิดจากเชื้อ Varicella-zoster ที่กลับมาก่อโรคหลังเคยเป็นอีสุกอีใส ทำให้เกิดผื่นตุ่มน้ำและปวดแสบปวดร้อนตามแนวเส้นประสาท ส่วนใหญ่หายได้เองแต่บางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น อาการปวดประสาทหลังงูสวัด การรักษาที่สำคัญคือยาต้านไวรัส ร่วมกับการดูแลบรรเทาอาการ และอาจพิจารณาใช้ prednisolone ในบางกรณีที่มีอาการปวดรุนแรง

การป้องกันทำได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดในผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 50 ปี และวัคซีนอีสุกอีใสในเด็ก ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคและภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว