โรคโนคาร์ดิโอสิส (Nocardiosis)

โรคโนคาร์ดิโอสิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชั้นสูงในตระกูล Actinomycetes ซึ่งติดสีแกรมบวก มีลักษณะเป็นเส้นใย โตช้า คล้ายเชื้อรา เชื้อในกลุ่มนี้มีเพียง 3 กลุ่ม คือ Actinomyces, Nocardia, และ Streptomyces โดยเชื้อ Nocardia ที่ก่อโรคมักพบในดิน น้ำ และพืช คนติดเชื้อได้จากการสูดหายใจเอาฝุ่นละอองที่มีเชื้อ หรือจากบาดแผลที่ผิวหนัง อย่างไรก็ตาม โรคมักเกิดในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคปอดเรื้อรัง ตับแข็ง ติดสุรา ไตวายเรื้อรัง เบาหวาน มะเร็ง การติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน โรคนี้พบได้น้อยในคนที่ร่างกายแข็งแรง

อาการของโรค

โรคโนคาร์ดิโอสิสทำให้เกิดโรคได้หลายระบบ อาการมีได้ทั้งแบบเฉียบพลัน กึ่งเฉียบพลัน และเรื้อรัง อวัยวะติดเชื้อที่พบบ่อยได้แก่

  • ปอดอักเสบ (Pulmonary nocardiosis) พบได้มากที่สุด อาการจะเหมือนกับโรคปอดบวมทั่วไป คือมีไข้ ไอแบบมีเสมหะ เหนื่อยง่าย เอกซเรย์ปอดมีทั้งแบบที่เป็นโพรงหนอง, น้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด, ปอดอักเสบเฉพาะกลีบ, และปอดอักเสบแบบกระจัดกระจาย การวินิจฉัยต้องตรวจพบเชื้อจากเสมหะเท่านั้น
  • การติดเชื้อที่ผิวหนัง (Cutaneous nocardiosis) อาการจะคล้ายโรคเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis) เริ่มแรกจะเป็นเพียงตุ่มแดง ไม่เจ็บ จากนั้นเชื้อจะกระจายลงไปในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง เกิดเป็นฝีข้างล่าง รอยแดงที่ผิวหนังกว้างขึ้นและเริ่มกดเจ็บ เมื่อเชื้อเริ่มเข้าสู่หลอดน้ำเหลืองจะทำให้มีไข้และต่อมน้ำเหลืองในบริเวณข้างเคียงโต ลักษณะเด่นคือฝีจากโนคาร์เดียไม่ค่อยแตกออกมาทางผิวหนัง และหนองก็ไม่มีก้อนตะกอนของโคโลนี (sulfur granules) เหมือนอย่างฝีของแอคติโนมัยโคสิส
  • การติดเชื้อในข้อ (Nocardial septic arthritis) พบได้ยากมาก ลักษณะเป็นการอักเสบเรื้อรังของข้อเดี่ยว มักเป็นที่ข้อเข่า ข้อจะบวมขึ้นอย่างช้า ๆ ผู้ป่วยยังจะพอใช้ข้อนั้นได้ ไข้มักไม่มี หรือมีเพียงไข้ต่ำ ๆ เมื่อดูดน้ำไขข้อมาตรวจจะพบว่าเป็นหนองข้นชัดเจนคล้ายวัณโรคของข้อ การย้อม acid-fast ดูเชื้อในกรณีนี้สำคัญ เพราะถ้าล้างมากไปจะทำให้เชื้อไม่ติดสี ถ้าล้างน้อยไปเชื้อจะติดสีมากจนดูคล้ายเชื้อวัณโรค ทางที่ดีควรใช้วิธี Modified kinyoun acid fast โดยใช้ 1% sulfuric acid ล้างแทน acid alcohol
  • ฝีในสมอง (CNS nocardiosis) มักเกิดจากเชื้อที่แพร่กระจายมาจากอวัยวะอื่น พบบ่อยในผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีอาการอัมพาตจากการกดเบียดสมอง ชัก ปวดศีรษะ มีไข้ และสติลดลง

ตำแหน่งอื่น ๆ ที่อาจติดเชื้อ ได้แก่ ตา ไต กระดูก และช่องท้อง มักสัมพันธ์กับการบาดเจ็บที่มีแผลลึก

การวินิจฉัยโรค

การวินิจฉัยโรคต้องอาศัยการตรวจพบเชื้อในหนอง เสมหะ หรือชิ้นเนื้อที่มีพยาธิสภาพ แพทย์ควรนึกถึงโรคนี้เสมอเมื่อพบผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

เชื้อ Nocardia จะติดสี acid-fast เพียงบางส่วน เมื่อส่องกล้องจุลทรรศน์จะเห็นเป็นเส้นประสีแดง สามารถเพาะขึ้นได้ในอาหารเลี้ยงเชื้อทั่วไป แต่ต้องรออย่างน้อย 2 สัปดาห์ โคโลนีที่ได้จะมีสีส้ม ผิวขรุขระ มีลักษณะคล้ายมีผงสีขาวโรยด้านบน และมักถูกบดบังด้วยการเจริญของเชื้ออื่นที่โตเร็วกกว่า



การรักษา

ยาที่ใช้รักษาได้ผล ได้แก่ Trimethoprim-Sulfamethoxazole (TMP-SMZ), Amikacin, ยากลุ่ม Carbapenems และ Cephalosporins รุ่นที่สาม โดยทั่วไป TMP-SMZ มักเป็นยาหลักที่เลือกใช้ เนื่องจากราคาไม่แพงและมีทั้งแบบฉีดและแบบรับประทาน ระยะเวลาในการรักษายาวนาน 6-12 เดือน ขึ้นกับอวัยวะที่ติดเชื้อและความรุนแรงของโรค ในผู้ป่วยอาการรุนแรงอาจต้องใช้ยาหลายขนานร่วมกันในช่วงแรก หากมีฝีที่สามารถผ่าตัดได้ ควรผ่าตัดเพื่อระบายหนองร่วมด้วย

พยากรณ์โรค

โรคโนคาร์ดิโอสิสมีพยากรณ์โรคแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งการติดเชื้อและสภาพร่างกายของผู้ป่วย ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมีโรคเรื้อรังร่วม มักมีการดำเนินโรครุนแรงและตอบสนองต่อการรักษาได้ไม่ดีนัก หากติดเชื้อในระบบประสาทกลาง พยากรณ์โรคจะเลวร้ายมากขึ้น แต่หากวินิจฉัยและรักษาได้เร็ว มีโอกาสฟื้นตัวและควบคุมโรคได้

การป้องกัน

การป้องกันโรคทำได้โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสดินหรือฝุ่นในผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำ ดูแลบาดแผลอย่างถูกวิธี ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวานและไตวาย รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้ยากดภูมิคุ้มกันโดยไม่จำเป็น ผู้ที่มีความเสี่ยงควรระวังอาการผิดปกติทางระบบหายใจหรือผิวหนัง และรีบพบแพทย์หากสงสัยว่าติดเชื้อ

สรุป

โรคโนคาร์ดิโอสิส (Nocardiosis) เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้น้อยในคนทั่วไป แต่พบมากขึ้นในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือมีโรคประจำตัวเรื้อรัง เชื้ออาจติดได้หลายอวัยวะ โดยเฉพาะปอด ผิวหนัง ข้อ และสมอง การรักษาต้องใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน และบางกรณีต้องผ่าตัดร่วมด้วย การพยากรณ์โรคขึ้นกับความรุนแรง ตำแหน่งการติดเชื้อ และความแข็งแรงของร่างกายผู้ป่วย การป้องกันโดยการดูแลสุขภาพและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดโอกาสเกิดโรค