โรคเหาและโลน (Pediculosis & Phthiriasis)

เหาและโลนเป็นปรสิตที่ดูดเลือดจากคนเป็นอาหาร ทำให้เกิดอาการคัน และเสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อน เหามีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pediculus humanus แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
- เหาหัว: อาศัยบนศีรษะ ดูดเลือดจากหนังศีรษะ ทำให้คันและอาจเกิดแผลติดเชื้อ
- เหาตัว: อาศัยตามขนลำตัวและตะเข็บเสื้อผ้า นอกจากดูดเลือดแล้ว ยังเป็นพาหะนำโรค เช่น Epidemic typhus, Trench fever และ Relapsing fever

ส่วนโลน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phthirus pubis อาศัยอยู่ตามขนบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ ดูดเลือดเป็นอาหาร ทำให้เกิดอาการคันอย่างรุนแรง

เหาและโลนออกลูกเป็นไข่ เหาหัวออกไข่ครั้งละ 50-150 ฟอง เหาตัวออกทีละ 270-300 ฟอง และโลนออกทีละประมาณ 26 ฟอง ไข่มีสีขาวขุ่นติดอยู่ที่โคนผมหรือขน ฟักออกเป็นตัวใน 7-10 วัน ตัวอ่อนลอกคราบ 3 ครั้งจนเป็นตัวเต็มวัย ผสมพันธุ์และวางไข่ต่อไปอีก ตัวหนึ่ง ๆ มีชีวิตอยู่ได้นานประมาณ 3-6 สัปดาห์ สามารถไต่ข้ามไปอาศัยอยู่ในคนอีกคนหนึ่งได้โดยการสัมผัสใกล้ชิดกันหรือใช้ของร่วมกัน

อาการและการวินิจฉัย

โรคเหาที่ศีรษะ (Pediculosis capitis)

พบได้บ่อยในเด็กวัยเรียน เพราะเด็กนักเรียนจะวิ่งเล่นใกล้ชิดกันมาก และบางครั้งจะใช้หวี หมวก และหมอนร่วมกัน เมื่อเป็นเหาจะมีอาการคันที่หนังศีรษะ ถ้าเกามากจะเป็นแผล มีสะเก็ดแห้งกรัง บางครั้งอาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนขึ้นได้

ตัวเหาบนศีรษะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มีสีออกน้ำตาลหรือเทา แต่มันมักจะไต่หลบไปตามเส้นผม ไข่เหาเห็นได้ง่ายกว่า เป็นจุดเล็ก ๆ สีขาวขุ่น ติดอยู่ประมาณ 1.5-3.0 ซม. จากโคนผม เมื่อแรกเห็นอาจดูคล้ายรังแค แต่ไข่เหาจะติดแน่น ไม่เลื่อนไปตามเส้นผมเหมือนรังแค ทั้งตัวเหาและไข่เหาสามารถหลุดออกมาได้เมื่อใช้หวีเสนียดสางผม

โรคเหาที่ลำตัว (Pediculosis corporis)

พบในคนที่ไม่อาบน้ำเป็นเวลานาน ๆ เช่น ผู้พเนจร ตัวเหาจะอาศัยอยู่ในเสื้อผ้าด้านที่ติดกับลำตัว วางไข่อยู่ตามเส้นใยของเสื้อผ้าและขนรักแร้ ผู้ที่มีเหาจะคันตามตัวโดยเฉพาะเวลากลางคืน เพราะตัวเหาจะไต่จากเสื้อผ้าเข้ามาที่ผิวหนังเพื่อดูดเลือด

เหาตัวสามารถมีชีวิตอยู่นอกตัวคนได้นานกว่าเหาหัว และเป็นพาหะของเชื้อกลุ่ม Rickettsia, Borrelia และ Bartonella การวินิจฉัยใช้การเปรียบเทียบรูปร่างลักษณะของตัวเหาจากรูปข้างต้น

โรคโลน (Pediculosis pubis, Phthiriasis)

จัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคหนึ่ง โลนมีขนาดเล็ก เคลื่อนไหวช้ากว่าเหา พบเกาะตามขนอ่อนบริเวณอวัยวะเพศ อาจไม่มีอาการคันชัดเจน แต่สังเกตได้จากจุดเลือดแห้งบนกางเกงใน บริเวณที่ถูกกัดอาจติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำและเกิดตุ่มหนอง การวินิจฉัยทำโดยตรวจขนรอบอวัยวะเพศและทวารหนัก



การรักษา

วิธีที่ง่ายและได้ผลดีที่สุด คือการโกนผมหรือขนที่มีเหาหรือโลน และซักเสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม และของใช้ส่วนตัวให้สะอาด หากไม่สะดวกโกนผมสามารถใช้ยาฆ่าเหา ซึ่งควรทำซ้ำ 3–4 ครั้ง ห่างกันสัปดาห์ละครั้งเพื่อกำจัดตัวที่ฟักใหม่

สมุนไพร ที่ใช้ฆ่าเหา เช่น
- ใบน้อยหน่าตำและคั้นกับน้ำหรือน้ำมัน
- ใบสะเดาแก่โขลกผสมน้ำพอเหลว
- ยางจากผลมะตูมสุก
- น้ำในลูกบวบขม
- น้ำมะกรูด
- น้ำส้มสายชู
ทุกชนิดใช้ชโลมผมทิ้งไว้ 3-4 ชั่วโมง ค่อยเอาหวีเสนียดสางแล้วล้างออก ปล่อยให้แห้ง แล้วค่อยสระผมด้วยแชมพู แล้วสางผมอีกครั้งเป็นอันเสร็จหนึ่งรอบ

ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น 25% benzyl benzoate หรือ 1% gamma benzene hexachloride ที่วางขายมีทั้งในรูปครีม เจล หรือโลชั่น วิธีใช้ยาทั้งสองชนิดนี้ ต้องหมักผมทิ้งไว้ 12-24 ชั่วโมง แล้วใช้หวีเสนียดสางออก ผลข้างเคียงคืออาการระคายเคืองหนังศีรษะ ยิ่งในกรณีที่มีแผลที่เกิดจากการเกา อาการระคายเคืองจะรุนแรงยิ่งขึ้น ยาทั้งสองชนิดจะกำจัดได้เฉพาะตัวเหา ไม่สามารถฆ่าไข่ได้ จึงต้องใช้ซ้ำหลัง 7 วัน เมื่อไข่เหาที่ไม่ถูกกำจัดฟักตัวออกมา

ยาฆ่าแมลง เช่น 5% Permethrin, Malathion, Lindane, หรือแชมพูที่มีส่วนผสมของ Pyrethrine ควรใช้ภายใต้คำสั่งของแพทย์ เพราะอาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะเป็นเวลานานได้ สำหรับยา malathion นั้นมีประสิทธิภาพกำจัดได้ทั้งตัวเหาและไข่เหา จึงใช้ครั้งเดียว นอกจากนั้นตัวยายังสามารถซึมเข้าไปในเคอราตินของเส้นผมและค้างอยู่นานถึง 6 สัปดาห์ จึงป้องกันการติดเชื้อซ้ำได้

การป้องกัน

การป้องกันเหาและโลนทำได้โดยการสระผมให้สะอาดเป็นประจำ หมั่นนำเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม มาซักหรือผึ่งแดด อย่าใช้หวีหรือผ้าเช็ดผมร่วมกับผู้อื่น ไม่คลุกคลีหรือนอนใกล้ผู้ที่เป็นเหา และหากพบว่าเป็นเหาต้องรีบรักษาทันที

สรุป

โรคเหาและโลนเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในเด็กวัยเรียนและผู้ที่ขาดสุขอนามัย ตัวปรสิตดูดเลือดเป็นอาหาร ทำให้เกิดอาการคัน และเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เหายังสามารถเป็นพาหะนำโรคสำคัญบางชนิดได้ การรักษามีทั้งการโกนผม การใช้สมุนไพร และยาฆ่าเหา โดยต้องทำซ้ำเพื่อกำจัดทั้งตัวและไข่ ส่วนการป้องกันเน้นการรักษาความสะอาด ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกัน และรักษาทันทีเมื่อพบการติดเชื้อ หากมีการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด สามารถควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ