โรคเกลื้อน (Pityriasis versicolor, Tinea versicolor)

เกลื้อนเป็นการติดเชื้อราที่ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า พบได้บ่อยในประเทศที่มีอากาศร้อนและชื้น สาเหตุเกิดจากเชื้อ Malassezia furfur ซึ่งเป็นเชื้อราที่พบได้ปกติบนผิวหนังของคน โดยเฉพาะในบริเวณที่มีไขมันมาก เจริญเติบโตได้ดีในภาวะอับชื้น มีการหมักหมมของเหงื่อไคล และในผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ ขาดอาหาร โลหิตจาง มีโรคเรื้อรัง หรือได้รับยาสเตียรอยด์

ลักษณะของเกลื้อน

เกลื้อนมีลักษณะเป็นดวงแบนราบ สีขาว น้ำตาล หรือแดง ขอบเขตชัดเจน พบบ่อยบริเวณหลัง คอ ต้นแขน และอก เริ่มต้นมักเป็นวงเล็ก ๆ สีจางกว่าผิวหนังโดยรอบ แล้วค่อย ๆ ขยายโตขึ้น ต่อกันจนดูเป็นปื้น ที่เห็นเป็นสีขาวเพราะเชื้อราทำให้ขี้ไคลแห้ง หลุดง่าย ผิวหนังบริเวณนั้นบางลง และยังป้องกันผิวหนังไม่ให้มีสีคล้ำเมื่อโดนแดด

ในคนผิวคล้ำ เกลื้อนอาจมีสีน้ำตาลเข้มเพราะเชื้อ M. furfur เจริญในชั้น Stratum corneum ทำให้เกิดการสร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้น จึงเห็นเป็นดวงสีน้ำตาลดำ


ในคนผิวขาว เกลื้อนอาจมีสีแดงหรืออมชมพู พื้นแบนเรียบ ไม่คัน ดังรูป

การวินิจฉัย

โรคเกลื้อนต้องแยกโรคออกจากภาวะอื่น ๆ เช่น

  • รอยดวงขาว แยกจากโรคกลากน้ำนม (Pityriasis alba), โรคด่างขาว (Vitiligo) และโรคเรื้อน
  • รอยดวงน้ำตาล แยกจากรอยผิวหนังอักเสบที่เกิดการสร้างเม็ดสีเพิ่ม
  • รอยดวงสีชมพู แยกจากโรคกลีบกุหลาบ (Pityriasis rosea), โรคผื่นผิวมัน (Seborrheic dermatitis), โรคภูมิแพ้ผิวหนัง, โรคกลาก, โรคสะเก็ดเงิน และมะเร็งผิวหนังบางชนิด

ลักษณะ พื้นแบนเรียบ และ ไม่คัน เป็นลักษณะเด่นของเกลื้อน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถวินิจฉัยเกลื้อนได้จากการดูด้วยตา แต่ในรายที่รอยโรคไม่ชัดเจน สามารถตรวจเพิ่มเติมโดย:

  1. ส่องด้วย Wood’s light จะเห็นรอยโรคเรืองแสงสีเหลืองทอง (ต่างจาก Vitiligo ที่เรืองแสงสีฟ้า)
  2. ขูดขุยผิวหนังใส่สไลด์ แล้วหยดน้ำยา Parker Ink ลงไป 1 หยด ปิดด้วยแก้วปิดสไลด์บาง ๆ แล้วส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะเห็นเชื้อราลักษณะเป็นเส้นสายและกลม ๆ คล้าย “สปาเก็ตตี้กับมีทบอล”

  3. ตัดชิ้นเนื้อบริเวณขอบรอยโรคส่งตรวจพยาธิวิทยา จะพบเชื้ออยู่เฉพาะในชั้นหนังกำพร้าและรูขุมขน ไม่ลงลึกลงไปถึงชั้นหนังแท้ มีเพียงการอักเสบของหนังแท้ชั้นบนเท่านั้น


การรักษา

โรคเกลื้อนรักษาได้ไม่ยาก มียาทาหลายชนิดที่ใช้ได้ผล เช่น 20% sodium thiosulfate, 40–50% propylene glycol, 2.5% selenium sulfide, 2% tolnaftate, 1% clotrimazole, และ 2% miconazole โดยทาวันละ 2 ครั้ง หลังอาบน้ำ นาน 2–4 สัปดาห์

แชมพูยาฆ่าเชื้อราก็ใช้ได้ เช่น selenium sulfide 2.5%, zinc pyrithione 1–2%, หรือ ketoconazole 2% ฟอกทั่วตัว ทิ้งไว้ 15 นาที วันละครั้ง ต่อเนื่อง 2–4 สัปดาห์

ในรายที่เป็นมาก อาจต้องใช้ยา ketoconazole รับประทาน ขนาด 200 มก./วัน 10–14 วัน (ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคตับ)

นอกจากนี้ควรใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย หลังออกกำลังกายควรรีบอาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า เนื่องจากโรคเกลื้อนมีโอกาสเป็นซ้ำได้ง่าย หากเป็นซ้ำบ่อยควรใช้แชมพูที่มี selenium sulfide หรือ ketoconazole ฟอกตัวสัปดาห์ละครั้ง หรือรับประทาน ketoconazole 400 มก. เดือนละครั้งเพื่อป้องกัน อย่างไรก็ตาม วิธีที่ดีที่สุดคือการรักษาความสะอาดของร่างกาย

แม้รักษาจนเชื้อหายแล้ว แต่สีผิวที่ผิดปกติอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะกลับคืนสู่ปกติ

การป้องกัน

  1. รักษาความสะอาดร่างกาย อาบน้ำและเช็ดตัวให้แห้งเสมอ โดยเฉพาะหลังออกกำลังกาย
  2. หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นหรือทำให้เกิดความอับชื้น เลือกเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ยาสเตอรอยด์โดยไม่จำเป็น
  4. หากเคยเป็นเกลื้อนซ้ำบ่อย อาจใช้แชมพูที่มี selenium sulfide หรือ ketoconazole ฟอกตัวสัปดาห์ละครั้งเพื่อป้องกัน
  5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนเพียงพอ เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย

สรุป

โรคเกลื้อนเป็นการติดเชื้อราที่ผิวหนัง พบบ่อยในผู้ที่อยู่ในสภาพอากาศร้อนชื้นหรือมีเหงื่อออกมาก เชื้อ Malassezia furfur เจริญในบริเวณที่มีไขมันและความชื้น ทำให้เกิดรอยดวงสีขาว น้ำตาล หรือชมพูที่แบนราบและไม่คัน การวินิจฉัยอาศัยการตรวจร่างกายและวิธีเพิ่มเติม เช่น Wood’s light หรือกล้องจุลทรรศน์ โรคนี้รักษาได้ด้วยยาทา ยาแชมพู และบางรายอาจใช้ยารับประทาน แต่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย ดังนั้นการดูแลสุขอนามัยส่วนตัวและการป้องกันความอับชื้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด