โรคพยาธิปากขอ (Ancylostomiasis)
โรคพยาธิปากขอเป็นโรคที่เกิดจากพยาธิในลำไส้เล็กของมนุษย์ พยาธิชนิดนี้มีปากลักษณะเป็นตะขอ (hookworm) ที่พบในคนมี 2 ชนิด คือ
Necator americanus และ Ancylostoma duodenale โดยในประเทศไทยพบ Necator americanus มากกว่า และมักพบมากที่สุดในภาคใต้ พยาธิปากขอตัวเต็มวัยจะอาศัยอยู่ในลำไส้เล็ก โดยใช้ปากเกาะติดกับผนังลำไส้เพื่อดูดเลือดและสารอาหารจากเยื่อบุลำไส้ พยาธิตัวเมีย 1 ตัว สามารถออกไข่ได้ประมาณวันละ 20,000 ฟอง ไข่จะถูกขับออกมากับอุจจาระ และภายใน 24–48 ชั่วโมง ไข่จะฟักออกเป็นตัวอ่อนระยะที่หนึ่ง จากนั้นจะลอกคราบเป็นตัวอ่อนระยะที่สองภายใน 3 วัน และเจริญต่อไปอีก 3–5 วัน ก่อนจะลอกคราบเป็นตัวอ่อนระยะที่สาม หรือที่เรียกว่า filariform larva ซึ่งเป็นระยะติดต่อ สามารถไชผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายได้
อาการของโรค
ตัวอ่อนที่ฟักออกมาจากไข่ในดินสามารถไชผ่านผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณง่ามนิ้วเท้า ของผู้ที่เดินเท้าเปล่าลงบนพื้นดิน บริเวณผิวหนังที่พยาธิไชเข้าไปจะเกิดเป็นตุ่มแดงและคัน เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ตัวอ่อนจะเข้าสู่กระแสเลือด และภายใน 1–2 สัปดาห์
อาจมีอาการไข้ ไอ เนื่องจากพยาธิเดินทางผ่านปอด ซึ่งอาจทำให้เกิดปอดอักเสบหรือหลอดลมอักเสบได้ ในระยะนี้มักพบว่ามีเม็ดเลือดขาวชนิดอีโอซิโนฟิลสูงกว่าปกติ
เมื่อตัวอ่อนพัฒนาเป็นพยาธิตัวเต็มวัยและเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น
ผู้ป่วยอาจมีอาการไม่สบายท้อง จุกเสียดบริเวณลิ้นปี่ พยาธิแต่ละตัวสามารถดูดเลือดได้วันละประมาณ 0.03–0.15 มิลลิลิตร หากมีพยาธิจำนวนมาก จะทำให้เกิดอาการซีด อ่อนเพลีย มึนงง เหนื่อยง่าย และเมื่อเจาะเลือดตรวจจะพบภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
โดยเม็ดเลือดแดงจะมีลักษณะซีดและขนาดเล็ก
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยทำได้โดยการตรวจพบไข่ของพยาธิปากขอในอุจจาระ
ซึ่งควรตรวจภายใน 24 ชั่วโมงหลังเก็บอุจจาระ เพราะหากปล่อยไว้นานไข่อาจฟักเป็นตัวอ่อนและไชหนีไปได้
การรักษา
การรักษาโรคพยาธิปากขอทำได้โดยการใช้ยาฆ่าพยาธิ เช่น
- Albendazole ขนาด 400 มิลลิกรัม รับประทานครั้งเดียว
- Mebendazole ขนาด 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 3 วัน
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะโลหิตจาง ควรให้ธาตุเหล็กร่วมด้วย เพื่อช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและฟื้นฟูร่างกาย
การป้องกัน
การป้องกันโรคพยาธิปากขอทำได้โดย
- หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าบนพื้นดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ชื้นแฉะหรือสงสัยว่ามีการปนเปื้อนอุจจาระ
- รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลและสิ่งแวดล้อม เช่น ล้างมือก่อนรับประทานอาหารและหลังขับถ่าย
- ไม่ถ่ายอุจจาระลงบนพื้นดิน ควรใช้ส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
- ควรมีการตรวจสุขภาพและถ่ายพยาธิเป็นระยะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กในชนบท
สรุป
โรคพยาธิปากขอเป็นโรคพยาธิที่พบได้บ่อยในเขตร้อนชื้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการถ่ายอุจจาระลงดินและขาดสุขอนามัย การติดเชื้อเกิดจากตัวอ่อนพยาธิไชผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการตั้งแต่คันผิวหนัง ไอ ไปจนถึงภาวะโลหิตจางจากการเสียเลือดเรื้อรัง การรักษาทำได้โดยการใช้ยาฆ่าพยาธิร่วมกับการเสริมธาตุเหล็กในรายที่มีโลหิตจาง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า และใช้ส้วมที่ถูกสุขลักษณะ หากตรวจพบและรักษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยมักมีพยากรณ์โรคที่ดี