โรคแอนแทร็กซ์ (Anthrax)
แอนแทร็กซ์เป็นโรคติดต่อที่พบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น วัว ควาย ม้า แกะ และแพะ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bacillus anthracis ซึ่งเป็นแบคทีเรียรูปแท่ง กรัมบวก สามารถสร้างสปอร์ที่มีความทนทานสูงเมื่ออยู่นอกร่างกายของสิ่งมีชีวิต
คนติดโรคแอนแทร็กซ์มาจากสัตว์ได้ 3 ทางคือ
- การสัมผัสสัตว์หรือซากสัตว์ที่ติดโรคโดยตรง
- การสูดหายใจเอาสปอร์ของเชื้อ ที่ติดอยู่ในขนสัตว์หรือหนังสัตว์เข้าไป
- การรับประทานเนื้อสัตว์ที่ป่วยตายจากโรคนี้
โดยแต่ละเส้นทางการติดเชื้อจะทำให้เกิดอาการที่แตกต่างกัน
อาการของโรค
โรคแอนแทร็กซ์มีระยะฟักตัวไม่เกิน 7 วัน อาการแบ่งตามระบบที่ติดเชื้อได้ดังนี้
- แอนแทร็กซ์ที่ผิวหนัง (Cutaneous anthrax) ผู้ป่วยมักมีประวัติสัมผัสกับซากสัตว์ เช่น การแล่เนื้อวัวหรือควายที่เสียชีวิตเอง
จากนั้น 2-5 วันจะเกิดตุ่มแดงตรงตำแหน่งที่สัมผัส เช่น มือหรือปลายนิ้ว ตุ่มแดงจะพัฒนาเป็นตุ่มน้ำพองใสภายใน 1-2 วัน แล้วจะกลายเป็นตุ่มหนอง ในราววันที่ 5 ของโรคจะเกิดเนื้อตายตรงกลางตุ่ม มีลักษณะสีดำคล้ายรอยบุหรี่จี้
ขอบแผลนูนชัดเจน ร่วมกับไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เชื้อสามารถลุกลามไปต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงและเข้าสู่กระแสเลือดได้
- แอนแทร็กซ์ที่ระบบหายใจ (Inhalation anthrax หรือ woolsorter's disease) มักพบในคนงานโรงงานที่ทำงานกับขนสัตว์หรือหนังสัตว์
อาการจะรุนแรง มีไข้สูง กระสับกระส่าย หายใจลำบาก เจ็บคอ เจ็บหน้าอก ลิ้นบวม ไอเป็นเลือด หอบ ตัวเขียว ความดันโลหิตตก ภาพรังสีทรวงอกพบของเหลวในช่องเยื่อหุ้มปอด และเมดิแอสตินั่ม (mediastinum) กว้างขึ้น
- แอนแทร็กซ์ที่ระบบทางเดินอาหาร (Intestinal anthrax)
เชื้อแอนแทร็กซ์ที่อยู่ในรูปของสปอร์สามารถทนความร้อนได้สูงมาก การอบด้วยความร้อน 140°C สามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน 1-3 ชั่วโมง ถ้าเอาไปต้มจะทนความร้อน 100°C ได้นาน 5-30 นาที ผู้ป่วยมักมีประวัติกินแกงเนื้อ หรือยำเนื้อสุก ๆ ดิบ ๆ แล้วเกิดอาการปวดท้องเฉียบพลัน ท้องร่วงรุนแรงคล้ายอหิวาต์ อุจจาระอาจมีเลือดสดปนจำนวนมาก ร่วมกับไข้สูงและอาเจียน ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดภาวะช็อคและเสียชีวิต
ภาวะแทรกซ้อนสำคัญที่พบได้ในแอนแทร็กซ์ทั้ง 3 ชนิด ได้แก่
ภาวะโลหิตเป็นพิษ (Septicemia) และ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ภาวะเลือดเป็นพิษมักพบในรายที่รักษาช้า เชื้อแทรกซึมเข้ากระแสเลือดไปก่อน ส่วนเยื่อหุ้มสมองอักเสบพบไม่บ่อยแต่อาการรุนแรง ผู้ป่วยจะสับสน เอะอะ แล้วซึมลง ตรวจน้ำไขสันหลังจะพบน้ำขุ่นเหมือนหนองหรือมีเลือดปน
การวินิจฉัย
โรคแอนแทร็กซ์วินิจฉัยโดยการเพาะเชื้อขึ้นจากแผล เสมหะ อุจจาระ เลือด หรือน้ำไขสันหลัง ซึ่งมักจะช้า การตรวจทางซีโรโลยีก็ต้องมีไตเตอร์เพิ่มขึ้น 4 เท่าจึงจะวินิจฉัยได้ หากผู้ป่วยมีประวัติและอาการเข้ากับโรค ควรเริ่มให้ยาปฏิชีวนะทันทีโดยไม่ต้องรอผลเพาะเชื้อ
อาการของแอนแทร็กซ์ต้องแยกโรคจากหลายโรค เช่น
แผลคล้ายรอยบุหรี่จี้ต้องแยกจากไข้รากสาดใหญ่หรือไทฟัส, อาการท้องร่วงรุนแรงต้องแยกจากบิดไม่มีตัว อหิวาตกโรค และอาหารเป็นพิษ, ส่วนอาการหอบและไข้สูงต้องแยกจากโรคปอดอักเสบที่เกิดจากเชื้ออื่น ๆ
การรักษา
ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาโรคแอนแทร็กซ์ ได้แก่
Ciprofloxacin, Doxycycline, Penicillin, Chloramphenicol และ Erythromycin ผู้ป่วยที่มีอาการท้องร่วงรุนแรงต้องได้รับน้ำเกลือทดแทนให้เพียงพอ รายที่เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษและความดันโลหิตตกต้องได้รับยาพยุงความดันอย่างต่อเนื่อง
วิธีป้องกัน
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคแอนแทร็กซ์ให้กับสัตว์เลี้ยงทุกตัว
- หากพบสัตว์ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบและชันสูตร
- ห้ามนำเนื้อสัตว์ที่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุมาบริโภคหรือจำหน่าย
วัคซีนป้องกันโรคแอนแทร็กซ์ที่ใช้ในคนมีราคาแพง แนะนำให้ฉีดเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสัตว์ป่วยโดยตรง คนทั่วไปที่บังเอิญไปสัมผัสกับโรค เช่น ดูแลคนที่ป่วยเป็นโรคแอนแทร็กซ์ เจ้าของสัตว์ที่ตายด้วยโรคแอนแทร็กซ์ หรือกินเนื้อสัตว์ที่สงสัยว่าจะเป็นโรคแอนแทร็กซ์ตายเข้าไป ควรทานยาป้องกันนาน 7 วัน และเฝ้าสังเกตอาการจนครบ 10 วัน
สรุป
โรคแอนแทร็กซ์เป็นโรคติดเชื้อรุนแรงที่เกิดจากเชื้อ Bacillus anthracis สามารถแพร่สู่คนผ่านการสัมผัส การหายใจเอาสปอร์เข้าสู่ร่างกาย หรือการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ป่วยตาย อาการของโรคแตกต่างกันตามระบบที่ติดเชื้อ ได้แก่ ผิวหนัง ทางเดินหายใจ และทางเดินอาหาร ภาวะแทรกซ้อนสำคัญคือโลหิตเป็นพิษและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ แม้การวินิจฉัยที่แน่นอนต้องอาศัยการเพาะเชื้อ แต่ควรเริ่มการรักษาทันทีเมื่อสงสัยโรค การป้องกันที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนให้สัตว์เลี้ยง ดูแลสุขอนามัย และหลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ไม่ปลอดภัย โรคนี้แม้รักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะหลายชนิด แต่หากตรวจพบช้าหรือรักษาไม่ทัน อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้