โรคแอสเปอร์จิลโลสิส (Aspergillosis)
โรคแอสเปอร์จิลโลสิสเกิดจากเชื้อราในสกุล Aspergillus ซึ่งเป็นเชื้อรารูปแท่ง มีลักษณะเด่นคือเส้นใยแตกแขนงเป็นมุม 45 องศา และมีสปอร์คล้ายดอกไม้
พบได้ทั่วไปในสิ่งแวดล้อม เช่น ดิน น้ำ เศษใบไม้ที่หมักหมม รวมถึงในห้องที่มีระบบปรับอากาศ เชื้อนี้สามารถก่อโรคได้ทั้งในคน สัตว์ปีก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม การติดเชื้อในคนมักเกิดจากการสูดหายใจเอาสปอร์เข้าไป ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรงมักไม่แสดงอาการ แต่ในผู้ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มีโรคปอดเรื้อรัง หรือผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ เชื้อนี้สามารถทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจได้
อาการของโรค
โรคแอสเปอร์จิลโลสิสในคนจะแสดงอาการได้ 4 ลักษณะ ดังนี้
- แบบแพ้เชื้อรา (Allergic Bronchopulmonary Aspergillosis, ABPA)
เกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ของร่างกายต่อเชื้อ Aspergillus fumigatus
มักพบในผู้ที่มีโรคทางเดินหายใจเดิม เช่น หอบหืด (Asthma) หรือซิสติคไฟโบรสิส (Cystic fibrosis)
อาการได้แก่ ไข้ ไอ มีเสมหะเหนียวอุดหลอดลม ไอเป็นเลือดได้บ้าง
ภาพเอกซเรย์พบฝ้าในปอด บางรายมีไซนัสอักเสบเรื้อรัง น้ำมูกปนเลือดและมีกลิ่นเหม็น
ไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะทั่วไป
แบบก้อนเชื้อรา (Aspergilloma)
เกิดจากการที่เชื้อราสะสมจนกลายเป็นก้อนอยู่ภายในโพรงปอดที่มีอยู่เดิม
ระยะแรกมักไม่มีอาการและตรวจพบโดยบังเอิญจากเอกซเรย์ ต่อมาจะมีอาการไอเป็นเลือด
ซึ่งอาจออกมากจนเป็นอันตรายถึงชีวิต
- แบบทำลายปอดเรื้อรัง (Chronic Necrotizing Pulmonary Aspergillosis, CNPA)
มักพบในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นประจำ หรือผู้ติดสุรา
ผู้ป่วยจะมีไข้ ไอ เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อยต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ถึงเดือน
เสมหะมีเลือดปนหนอง น้ำหนักลด
ภาพเอกซเรย์พบปอดอักเสบหรือฝีในปอดที่ไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ
- แบบลุกลาม (Invasive Aspergillosis)
พบในผู้ป่วยที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำหรือภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง เช่น ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยลูคีเมีย
เชื้อจะลุกลามจากปอดเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้มีไข้สูง หนาวสั่น หอบเขียว ไอเป็นเลือด
และสามารถแพร่ไปยังอวัยวะอื่นทั่วร่างกาย
หากเริ่มที่ไซนัส อาจลุกลามทำลายกระดูกใบหน้า มีอาการเจ็บปวดและเลือดออกจากจมูก
การวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัยโรคแอสเปอร์จิลโลสิสแบบแพ้เชื้อรา (ABPA)
ในผู้ป่วยโรคหอบหืดหรือซิสติคไฟโบรสิสต้องมีเกณฑ์ครบ 4 ข้อ ได้แก่
- อาการทรุดลง เช่น ไอมากขึ้น หายใจมีเสียงวี้ด ออกกำลังกายได้น้อยลง หรือค่าการทำงานปอดลดลง
- ระดับ IgE มากกว่า 1000 IU/mL หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าจากระดับเดิม
- ผลตรวจซีโรโลยีต่อเชื้อแอสเปอร์จิลลัสเป็นบวก
- มีรอยโรคใหม่ในปอดจากภาพรังสีทรวงอก
ส่วนการวินิจฉัยชนิดอื่น ๆ ต้องอาศัยการเพาะเชื้อจากเสมหะ น้ำหลอดลม เลือด หรือจากชิ้นเนื้อที่นำมาตรวจ
การรักษา
ยาหลักที่ใช้รักษาได้แก่ Voriconazole, Posaconazole, Amphotericin B, Itraconazole และ Caspofungin ในระยะแรกที่ยังไม่ได้ผลยืนยัน ควรให้ Amphotericin B เนื่องจากครอบคลุมเชื้อราหลายชนิด อย่างไรก็ตาม Voriconazole ไม่ได้ผลต่อเชื้อ Zygomycetes ที่ทำให้เกิดโรค Mucormycosis
ชนิดก้อนเชื้อราที่ไม่มีอาการอาจยังไม่ต้องรักษา
เพราะยามักได้ผลเพียงประมาณ 60% แต่หากมีอาการไอเป็นเลือดควรรีบรักษา
วิธีรักษาได้แก่การผ่าตัดเอาก้อนออก หรือฉีดยาฆ่าเชื้อราตรงเข้าก้อน ขึ้นกับขนาดและตำแหน่ง
ชนิดแพ้เชื้อราต้องรักษาด้วยยากดภูมิอักเสบ เช่น Corticosteroids ชนิดรับประทาน ร่วมกับ Itraconazole ได้ในบางราย ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสปอร์โดยใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นเมื่อต้องเข้าไปในแหล่งที่มีเชื้อ เช่น ฟาร์มไก่ กรงนก หรือห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ
พยากรณ์โรค
พยากรณ์โรคขึ้นอยู่กับชนิดของการติดเชื้อและสภาพร่างกายผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรงและเป็นเพียงชนิดแพ้เชื้อราหรือชนิดก้อนเชื้อรา
มักมีการตอบสนองต่อการรักษาค่อนข้างดี แต่ผู้ป่วยที่เป็นชนิดลุกลาม (Invasive) โดยเฉพาะในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง พยากรณ์โรคค่อนข้างรุนแรง อัตราการเสียชีวิตสูงหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
การป้องกัน
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีเชื้อราสะสม เช่น กองปุ๋ยหมัก ฟาร์มสัตว์ หรือห้องชื้นอับ
- ใช้หน้ากากป้องกันฝุ่นและสปอร์เมื่อต้องเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง
- ดูแลรักษาสุขอนามัยของระบบปรับอากาศและห้องที่อยู่อาศัยให้สะอาดและแห้ง
- ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอควรได้รับการติดตามสุขภาพอย่างใกล้ชิด
สรุป
โรคแอสเปอร์จิลโลสิสเป็นการติดเชื้อราที่เกิดจาก Aspergillus
พบได้ตั้งแต่รูปแบบไม่รุนแรง เช่น ภูมิแพ้และก้อนเชื้อรา จนถึงรูปแบบรุนแรงคือการติดเชื้อแบบลุกลามในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง การวินิจฉัยต้องอาศัยทั้งอาการ ตรวจทางห้องปฏิบัติการ และภาพรังสี การรักษาหลักคือยาต้านเชื้อราและในบางกรณีอาจต้องผ่าตัด
พยากรณ์โรคแตกต่างกันไปตามชนิดของโรค โดยผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำจะมีความเสี่ยงสูง
การป้องกันที่สำคัญคือการลดการสัมผัสแหล่งเชื้อราและดูแลสุขภาพปอดให้แข็งแรง