โรคบลาสโตไมโคสิส (Blastomycosis)

โรคนี้พบได้น้อยในประเทศไทย เชื้อที่เป็นสาเหตุคือ Blastomyces dermatitidis เป็นเชื้อราที่อยู่ในดินและใบไม้ที่ผุพัง มี 2 รูปลักษณ์ ในดินจะมีรูปร่างเป็นเส้นสาย มีสปอร์เล็ก ๆ แตกออกมา แต่ในร่างกายของคนจะอยู่ในรูปยีสต์ (ทรงกลม) แบ่งตัวโดยการแตกหน่อ โดยที่ฐานของตัวลูกจะติดกับตัวแม่ค่อนข้างกว้าง จะแยกจากกันก็ต่อเมื่อตัวลูกโตจนขนาดใกล้เคียงตัวแม่ คนติดเชื้อโดยการสูดหายใจเอาสปอร์ของเชื้อเข้าไป แต่มักไม่แสดงอาการ ผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคได้แก่ผู้ป่วยโรคเอดส์ และผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะซึ่งต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกันไปตลอด

อาการของโรค

โรคบลาสโตไมโคสิสจะแสดงอาการทางระบบหายใจและผิวหนังคล้ายกับโรคค็อคสิดิออยโดไมโคสิสและโรคพาราค็อคสิดิออยโดไมโคสิส อาการแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ

  1. ระยะเฉียบพลัน หลังติดเชื้อประมาณ 45 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ ไข้ ไอแห้ง ปวดเมื่อยตามตัว คล้ายไข้หวัดใหญ่ อาการส่วนใหญ่มักหายได้เองในไม่กี่วัน แต่บางรายอาจรุนแรงจนกลายเป็นปอดอักเสบ มีไข้สูง หนาวสั่น ไอมีเสมหะ เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ภาพเอกซเรย์มักพบการอักเสบของปอดทั้งสองข้าง และในบางรายจะมีรอยโรคที่ผิวหนัง ลักษณะเป็นแผ่นนูนแข็งตรงกลางขรุขระคล้ายหูด ขนาด 1–5 ซม. อาจแตกเป็นแผล พบได้ที่ใบหน้า คอ แขนขา และมือ
  2. ระยะเรื้อรัง มักเกิดในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาการทางปอดจะคล้ายวัณโรคหรือมะเร็งปอด เช่น ไข้เรื้อรัง ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด ร่างกายซูบผอม ร้อยละ 20 ของผู้ป่วยมีรอยโรคที่ผิวหนังร่วมด้วย และร้อยละ 5 อาจมีเชื้อราลุกลามไปทำลายกระดูก เช่น กระดูกสันหลัง ซี่โครง หรือกะโหลกศีรษะ ทำให้เกิดอาการปวดกระดูก
  3. ระยะแพร่กระจาย เชื้อราสามารถเข้าสู่กระแสเลือดและแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ เช่น กล่องเสียง ต่อมลูกหมาก ข้อต่อ สมอง รวมถึงผิวหนังที่มักมีรอยโรคกระจายทั่วไป

การวินิจฉัยโรค

การวินิจฉัยโรคบลาสโตไมโคสิสที่แน่ชัดต้องอาศัยการเพาะเชื้อขึ้นจากเสมหะ แผล เลือด ไขกระดูก หรือจากชิ้นเนื้อที่ตัดออกมา ในเบื้องต้นการหยดเสมหะหรือหนองจากแผลด้วยน้ำยา KOH แล้วดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อาจเห็นเชื้อราเป็นรูปยีสต์ทรงกลมขนาด 8-20 ไมครอน มีการแตกหน่อทีละหน่อ ส่วนที่ติดกันจะยังคงกว้าง ดูคล้ายพินโบว์ลิ่ง ดังรูป

การตรวจทางซีโรโลยี เช่น EIA, RIA และ Western blot สามารถช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยได้ ส่วนการตรวจ DNA probe จะได้ผลชัดเจนเมื่อใช้กับชิ้นเนื้อ แต่หากใช้กับซีรั่มหรือปัสสาวะมักไม่พบเชื้อ



การรักษา

ยาที่ใช้รักษาโรคบลาสโตไมโคสิส ได้แก่ Itraconazole, Fluconazole, Voriconazole และ Amphotericin B โดยต้องรักษาติดต่อกันนาน 6–12 เดือน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและสภาพภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย

การป้องกัน

การป้องกันโรคบลาสโตไมโคสิสทำได้โดยลดการสัมผัสกับเชื้อราในสิ่งแวดล้อมและดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการขุดดินหรือสัมผัสดินและใบไม้ที่ผุพังโดยตรง โดยเฉพาะในพื้นที่ชื้น
  • สวมถุงมือและหน้ากากอนามัยเมื่อต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับดินหรือเศษซากพืช
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสัมผัสสปอร์ของเชื้อรา
  • รักษาร่างกายให้แข็งแรงและเข้ารับการตรวจสุขภาพหากมีอาการผิดปกติทางระบบหายใจ

สรุป

โรคบลาสโตไมโคสิสเป็นโรคติดเชื้อราที่พบไม่บ่อย เกิดจากการหายใจเอาสปอร์เชื้อ Blastomyces dermatitidis เข้าสู่ร่างกาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่ในผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจรุนแรงจนเชื้อแพร่กระจายไปยังปอด ผิวหนัง กระดูก และอวัยวะอื่น ๆ การวินิจฉัยอาศัยการเพาะเชื้อและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ส่วนการรักษาใช้ยาต้านเชื้อรานาน 6–12 เดือน การป้องกันทำได้โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับดินหรือเศษพืชที่เสี่ยง การตระหนักรู้และการป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ