โรคฝีในสมอง (Brain abscess)

โรคฝีในสมองเป็นภาวะติดเชื้อร้ายแรงแต่พบไม่บ่อย สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการลุกลามของเชื้อจากบริเวณใกล้เคียง เช่น หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ การติดเชื้อของโพรงกระดูกกกหู การติดเชื้อที่ฟัน หรือจากการติดเชื้อในกระแสเลือด เช่น การติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ ฝีในปอด รวมถึงอาจเกิดภายหลังการบาดเจ็บที่ศีรษะ นอกจากนี้ยังมีบางกรณีที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเฉียบพลันจากเชื้อแบคทีเรีย การอุดตันของหลอดเลือดดำในสมอง และประมาณ 15% ของผู้ป่วยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด

เชื้อที่พบส่วนใหญ่เป็นแบคทีเรีย แต่ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจเกิดจากวัณโรค โปรโตซัว หนอนพยาธิ หรือเชื้อราได้เช่นกัน อัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ลดลงมากหลังการมียาปฏิชีวนะที่สามารถซึมเข้าสู่สมองได้ดี และการใช้เทคโนโลยีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) ที่ช่วยระบุตำแหน่งฝีได้แม่นยำ ทำให้การผ่าตัดทำได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้อัตราการเสียชีวิตลดลง แต่ผู้ป่วยกว่าร้อยละ 50 ยังคงมีความพิการหลงเหลือหลังหายจากโรค

อาการของโรค

โรคฝีในสมองมักพบในเพศชาย ผู้ป่วยประมาณสองในสามมีอาการสำคัญ 3 อย่าง ได้แก่ ไข้ ปวดศีรษะ และอัมพาตบางส่วน อาการมักค่อย ๆ เป็นมากขึ้นภายใน 1–2 สัปดาห์ หากโรครุนแรงขึ้นจะมีอาการอาเจียน ตาพร่ามัว สับสน ซึมลง บางรายอาจมีอาการชักหรือหลังคอตึงคล้ายเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หากฝีอยู่บริเวณสมองน้อยด้านหลังศีรษะ ผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะ เดินเซ และเสียการทรงตัว

ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายคือการแตกของฝีในสมอง โดยเฉพาะในรายที่ฝีมีขนาดใหญ่แต่ผนังยังบาง ซึ่งหากเกิดขึ้นอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 80

การวินิจฉัยโรค

การวินิจฉัยอาศัยการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT scan) โดยฝีมักปรากฏเป็นโพรงหนองที่มีผนังหนาหุ้มรอบและเห็นชัดเมื่อฉีดสารทึบแสง ส่วนการระบุชนิดเชื้อที่เป็นสาเหตุทำได้ยาก เนื่องจากฝีอยู่ในเนื้อสมองโดยตรง การเลือกใช้ยาปฏิชีวนะจึงอาศัยการตรวจหาเชื้อจากแหล่งติดเชื้อดั้งเดิม เช่น หู ไซนัส หรือฟัน หากไม่พบ อาจต้องอ้างอิงจากข้อมูลเชิงระบาดวิทยาของเชื้อที่พบบ่อยในกลุ่มผู้ป่วยที่มีลักษณะคล้ายกัน



การรักษา

ฝีในสมองที่เป็นโพรงเดี่ยว มีขนาดใหญ่กว่า 2.5 ซม. และอยู่ในตำแหน่งที่ผ่าตัดควรได้รับการผ่าตัด แล้วให้ยาปฏิชีวนะร่วมหลังผ่าตัด ส่วนฝีในสมองที่มีหลายโพรง ขนาดเล็ก หรืออยู่ในตำแหน่งที่ผ่าตัดยาก มีอันตรายจากการผ่าตัดสูง ควรให้ยาปฏิชีวนะไปก่อน แล้วติดตามดูการเปลี่ยนแปลงของฝีจาก CT scan ทุก 5-7 วัน หากไม่ดีขึ้นจึงค่อยพิจารณาผ่าตัดเพื่อระบายหนองและเก็บตัวอย่างหนองมาตรวจหาเชื้อและความไวต่อยาโดยตรง

ฝีในสมองที่มีการบวมของเนื้อสมองค่อนข้างมากจนอาจเกิดภาวะสมองยื่น (brain herniation) และเสียชีวิตได้ ควรได้รับการเปิดกระโหลก และ/หรือ ให้ยาลดสมองบวมที่ไม่ใช่ Dexamethasone เพื่อไม่ให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันถูกกด

โรคฝีในสมองต้องใช้ยาปฏิชีวนะนาน 4-8 สัปดาห์ และต้องอยู่ในรูปฉีดจึงจะมีประสิทธิภาพเข้าถึงเนื้อสมองได้ดี

พยากรณ์โรค

พยากรณ์โรคของฝีในสมองขึ้นอยู่กับความรุนแรง ตำแหน่ง ขนาดฝี และความรวดเร็วในการรักษา หากวินิจฉัยได้เร็วและได้รับยาปฏิชีวนะหรือการผ่าตัดอย่างเหมาะสม โอกาสรอดชีวิตจะเพิ่มขึ้น แต่ยังมีผู้ป่วยมากกว่าครึ่งที่หลงเหลือความพิการ เช่น อัมพาต การพูดผิดปกติ หรือปัญหาด้านการรับรู้ ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงที่สุดคือการแตกของฝีในสมองซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก

การป้องกัน

การป้องกันโรคฝีในสมองทำได้โดยการรักษาและควบคุมโรคติดเชื้อที่อาจลุกลามเข้าสู่สมอง เช่น รักษาหูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ และการติดเชื้อที่ฟันให้หายขาด ดูแลสุขภาพช่องปาก ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและทางเดินโลหิต รวมถึงการรักษาโรคหัวใจหรือลิ้นหัวใจอักเสบอย่างถูกต้องและทันท่วงที

สรุป

โรคฝีในสมองเป็นภาวะติดเชื้อร้ายแรงที่อาจเกิดจากการลุกลามของเชื้อจากอวัยวะข้างเคียง การติดเชื้อในกระแสเลือด หรือหลังบาดเจ็บที่ศีรษะ ผู้ป่วยมักมีอาการไข้ ปวดศีรษะ และอัมพาตบางส่วน ร่วมกับอาการทางสมองอื่น ๆ การวินิจฉัยใช้การตรวจ CT scan เป็นหลัก การรักษาประกอบด้วยการให้ยาปฏิชีวนะร่วมกับการผ่าตัดในบางกรณี แม้อัตราการเสียชีวิตลดลงจากอดีต แต่ผู้ป่วยจำนวนมากยังคงมีความพิการหลงเหลือ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรักษาโรคติดเชื้อใกล้สมองอย่างถูกต้องเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดฝีในสมอง