โรคติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัส (Cytomegalovirus infection)

โรคนี้สามารถติดต่อได้หลายทาง ได้แก่ การหายใจ การสัมผัสน้ำลายหรือปัสสาวะของผู้ติดเชื้อ การมีเพศสัมพันธ์ การถ่ายเลือด การปลูกถ่ายอวัยวะ รวมถึงการส่งผ่านเชื้อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ ขณะคลอด และระหว่างให้นมบุตร ผู้ที่ติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัส (Cytomegalovirus หรือ CMV) หากมีภูมิคุ้มกันปกติ มักไม่มีอาการรุนแรงในระยะแรก แต่เชื้อสามารถแฝงตัวอยู่ในเซลล์และน้ำคัดหลั่งของร่างกายได้นาน เมื่อภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น เป็นเอดส์ หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เชื้อจึงจะแสดงอาการออกมา

อาการของโรค

โรคติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัสมีระยะฟักตัวนาน 1-8 สัปดาห์ ในคนปกติอาการจะคล้ายโรคติดเชื้อโมโนนิวคลีโอสิส (Infectious mononucleosis) คือ มีไข้อยู่นาน ปวดกล้ามเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองโต และมีลิมโฟไซต์สูงในเลือด มักมีตับอักเสบให้เห็นเล็กน้อยตั้งแต่การติดเชื้อครั้งแรก อาการจะเป็นอยู่ประมาณ 6 สัปดาห์ก็จะหายไปเอง แต่เชื้อยังคงแฝงอยู่ในร่างกาย

ผู้ป่วยจะกลับมามีไข้เรื้อรังอีกครั้งถ้ามีภูมิต้านทานผิดปกติ โดยจะค่อย ๆ อ่อนเพลีย เม็ดเลือดขาวต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ เกิดการอักเสบของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ ปอด จอตา สมอง ลำไส้ เป็นต้น

การวินิจฉัย

โรคติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัสสามารถวินิจฉัยได้โดยการตรวจพบอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

  1. เพาะเชื้อไซโตเมกะโลไวรัสได้จากอวัยวะที่แสดงอาการ
  2. ตรวจพบแอนติเจนของเชื้อโดยวิธี PCR
  3. ตรวจทางซีโรโลยีพบ CMV IgM antibody ขึ้นสูงในช่วงแรกที่มีอาการ โดยที่ heterphil antibody ให้ผลลบ (เพราะ CMV IgM ขึ้นได้ในรายที่มีการติดเชื้อโมโนนิวคลีโอสิส) หรือตรวจพบ CMV IgG เพิ่มขึ้น 4 เท่าในสัปดาห์ที่สี่เมื่อเทียบกับสัปดาห์แรกที่เริ่มมีอาการ
  4. ตรวจทางพยาธิวิทยาพบเซลล์ขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้าย "ตานกฮูก" ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้

โรคนี้ต้องวินิจฉัยแยกจากโรคไวรัสตับอักเสบ โรคโมโนนิวคลีโอสิส โรคท็อกโซพลาสโมซิส และโรคเอดส์ระยะเริ่มต้น



การรักษา

ยาหลักที่ใช้รักษาคือ Ganciclovir (ให้ทางหลอดเลือดดำ) และ Valganciclovir (รับประทาน) ระยะเวลาการรักษาประมาณ 2–4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและการตอบสนองต่อยา

การป้องกัน

ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้

ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ CMV แพทย์มักให้ใช้ CMV immune globulin ร่วมกับ ganciclovir เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วแต่ภูมิคุ้มกันยังคงผิดปกติอยู่ ควรกินยาต้านไซโตเมกะโลไวรัสไปตลอดเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ ซึ่งพบได้ถึง 30-75%

พยากรณ์โรค

ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติ โรคนี้มักมีพยากรณ์โรคที่ดี อาการมักหายไปเองและไม่ทิ้งผลแทรกซ้อนรุนแรง แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกายและสามารถกำเริบได้หากภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ส่วนผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยเอดส์หรือผู้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ มีพยากรณ์โรคค่อนข้างเลวร้าย อาจเกิดการติดเชื้อซ้ำหรืออวัยวะสำคัญเสียหายถาวรได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

สรุป

โรคติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัส (CMV infection) เป็นโรคที่ติดต่อได้หลายทาง และสามารถแฝงตัวอยู่ในร่างกายได้ตลอดชีวิต ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติมักมีอาการไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ในผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจเกิดอาการรุนแรงถึงชีวิต การวินิจฉัยอาศัยการเพาะเชื้อ การตรวจ PCR การตรวจแอนติบอดี และการตรวจทางพยาธิวิทยา การรักษาหลักคือยาต้านไวรัส เช่น Ganciclovir และ Valganciclovir แม้ยังไม่มีวัคซีน แต่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้บางส่วนโดยใช้ CMV immune globulin ร่วมกับยาในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง การดูแลรักษาที่เหมาะสมและการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนมีบทบาทสำคัญต่อการพยากรณ์โรค