โรคคริปโตค็อกโคสิส (Cryptococcosis)

เชื้อคริปโตค็อกคัส (Cryptococcus neoformans) เป็นเชื้อราประเภทยีสต์ รูปร่างกลม มีแคปซูลหุ้มรอบเซลล์ พบได้ในดินและมูลนกพิราบ เชื้อนี้สามารถก่อโรคได้ทั้งในคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม การติดเชื้อเกิดจากการสูดหายใจเอาฝุ่นผงหรือละอองที่มีเชื้อเข้าสู่ร่างกาย โดยทั่วไปจะไม่ทำให้เกิดโรค ยกเว้นในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยโรคเอดส์ ผู้ที่ได้รับยากดภูมิ ผู้ป่วยมะเร็ง หรือผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ

ในยุโรปมักพบการติดเชื้อที่ผิวหนัง ขณะที่ในอเมริกาและเอเชียพบบ่อยที่ปอดและสมอง สำหรับประเทศไทย พบมากที่สุดคือโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากคริปโตค็อกคัส โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคเอดส์

อาการของโรค

โรคคริปโตค็อกโคสิสในคนแสดงอาการได้ 5 ลักษณะ ดังนี้

  1. ที่ปอด (Pulmonary cryptococcosis)
  2. ปอดเป็นตำแหน่งแรกที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย แต่ผู้ป่วยจำนวนมากไม่แสดงอาการ (subclinical) บางรายอาจมีไอ เสมหะเล็กน้อย มีไข้ต่ำ เจ็บอกขณะหายใจ อ่อนเพลีย และน้ำหนักลด

  3. ที่ระบบประสาท (CNS cryptococcosis) มีได้ 2 ลักษณะคือ
    • เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (cryptococcal meningitis)
    • เชื้อคริปโตค็อกคัสชอบเจริญอยู่ในน้ำไขสันหลังมาก เพราะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวน้อยและยังเป็นแหล่งอาหารชั้นดี มีทั้งแอสปาราจินและครีเอตินิน ผู้ป่วยจะค่อย ๆ เกิดอาการของเยื่อหุ้มสมองอักเสบในเวลาเป็นสัปดาห์ โดยมีอาการปวดศีรษะ มีไข้ ปวดตามตัว อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ซึมลง อาจจะมีอาการชัก ส่วนใหญ่ไม่มีอาการคอแข็งเหมือนโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

    • ก้อนคริปโตค็อกโคมา (cryptococcoma)
    • เป็นก้อนเชื้อราในเนื้อสมอง พบไม่บ่อย และมักเกิดจากสายพันธุ์ C. gattii ทำให้ปวดศีรษะ อาเจียน ชัก หรืออัมพาต

  4. ที่ผิวหนัง (Cutaneous cryptococcosis)
  5. มีตุ่มหนองคล้ายสิว ต่อมาแตกกลายเป็นฝีและแผลหลุม

  6. ที่กระดูก (Osseous cryptococcosis)
  7. พบประมาณ 5–10% ของผู้ป่วยทั้งหมด มีอาการกระดูกบวมและปวดในบริเวณที่เป็น

  8. แบบกระจายทั่วร่างกาย (Disseminated cryptococcosis)
  9. เชื้อแพร่กระจายเข้ากระแสเลือด ทำให้เกิดการอักเสบ เป็นฝีของอวัยวะภายในหลายแห่ง ผู้ป่วยมีอาการหนัก ปวดศีรษะ ปวดท้อง หอบเหนื่อย มีไข้ ซึม ซีด

การวินิจฉัยโรค

โรคคริปโตค็อกโคสิสยืนยันได้จากการเพาะเชื้อขึ้นจากน้ำไขสันหลัง เสมหะ เลือด หรือจากชิ้นเนื้อตัวอย่างที่ตัดมา

ในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องที่มีไข้ ปวดศีรษะเรื้อรัง และเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองไม่พบก้อน ควรตรวจหาเชื้อราชนิดนี้ในน้ำไขสันหลังทุกราย เมื่อหยด India ink ลงไปในน้ำไขสันหลังแล้วส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะเห็นเชื้อคริปโตค็อกคัสลักษณะเป็นเซลล์กลม ๆ มีแคปซูลหนาแวววาวสะท้อนแสง

การตรวจหา cryptococcal antigen ในเลือดและน้ำไขสันหลัง ก็ช่วยในการวินิจฉัยโรคได้ในรายที่ส่องไม่พบเชื้อแต่อาการน่าสงสัยมาก



การรักษา

ยาหลักคือ Amphotericin B ให้ทางหลอดเลือดดำวันละครั้งต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ บางกรณีอาจใช้ร่วมกับ Flucytosine เพื่อเสริมฤทธิ์ แต่ต้องระวังในผู้ป่วยไตเสื่อม หลังจากนั้นให้รับประทานยา Fluconazole 400 มก./วัน ต่อไปอีก 8-10 สัปดาห์

ผู้ป่วยที่เป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากคริปโตค็อกโคสิสมักมีความดันของน้ำไขสันหลังสูงมาก เพียงการเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อส่งตรวจในครั้งแรกก็อาจทำให้อาการดีขึ้น แต่ในระหว่างการรักษา อาการปวดศีรษะและสับสนอาจกำเริบขึ้นมาอีก ควรทำการเจาะน้ำไขสันหลังซ้ำเพื่อระบายความดัน และส่งเพาะเชื้อเพื่อติดตามผลการรักษา

ในผู้ป่วยเอดส์ หลังรักษาให้หายดีแล้ว ต้องรับประทาน Fluconazole 200 มก./วัน ต่อเนื่องตลอดชีวิต เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำซึ่งพบได้บ่อยมาก

พยากรณ์โรค

หากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันปกติสามารถหายได้ แต่ในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคมีอัตราการกลับเป็นซ้ำและเสียชีวิตสูง แม้ได้รับการรักษาแล้วก็ตาม ความรุนแรงขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เชื้อก่อโรคและความแข็งแรงของร่างกายผู้ป่วย

การป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับมูลนกพิราบหรือดินที่อาจปนเปื้อนเชื้อ
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องควรตรวจสุขภาพและคัดกรองการติดเชื้อเป็นประจำ
  • ในผู้ป่วยเอดส์ ควรรับยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส
  • ใช้ยา Fluconazole ในขนาดป้องกันในบางกลุ่มผู้ป่วยที่เสี่ยงสูง ตามคำแนะนำแพทย์

สรุป

โรคคริปโตค็อกโคสิสเป็นโรคติดเชื้อราที่สำคัญในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเอดส์ เชื้อสามารถก่อโรคได้หลายระบบ เช่น ปอด สมอง ผิวหนัง กระดูก และอาจกระจายทั่วร่างกาย การวินิจฉัยอาศัยการเพาะเชื้อและการตรวจน้ำไขสันหลังเป็นหลัก การรักษาด้วย Amphotericin B ตามด้วย Fluconazole ให้ผลดีในหลายราย แต่ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องมีโอกาสเกิดซ้ำสูง ดังนั้นการป้องกันและการรักษาภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องร่วมด้วยจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง