โรคอัณฑะอักเสบ (Epididymo-orchitis)
โรคอัณฑะอักเสบ คือภาวะการอักเสบที่เกิดขึ้นกับลูกอัณฑะและหลอดเก็บอสุจิ (epididymis) ซึ่งมักเกิดพร้อมกันเสมอ ในผู้ใหญ่มักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ส่วนในเด็กมักพบว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคคางทูม สาเหตุที่พบได้ไม่บ่อย ได้แก่ การติดเชื้อวัณโรค หรือผลข้างเคียงจากยารักษาโรคหัวใจบางชนิด
อาการของโรค
โรคอัณฑะอักเสบเฉียบพลัน มีอาการเด่นคือปวดและบวมที่ลูกอัณฑะ มักเป็นเพียงข้างเดียว (พบสองข้างเพียงประมาณ 10%) หากเริ่มจากการอักเสบที่ epididymis จะคลำพบก้อนปวดเป็นเส้นด้านหลังลูกอัณฑะ อาการปวดจะค่อย ๆ รุนแรงขึ้นภายในเวลาเป็นวัน และจะปวดมากขึ้นเมื่อเบ่งถ่ายอุจจาระหรือขณะมีเพศสัมพันธ์ มักมีอาการร่วมด้วย เช่น ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อยหรือกลั้นไม่อยู่ ไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต และบางครั้งมีของเหลวหรือเลือดออกจากท่อปัสสาวะ
โรคอัณฑะอักเสบเรื้อรัง จะมีอาการปวดลูกอัณฑะเป็น ๆ หาย ๆ แต่ไม่บวม ไม่ค่อยมีไข้ อาจมีอาการปัสสาวะผิดปกติเป็นครั้งคราว และต่อมน้ำเหลืองขาหนีบโต อาการโดยรวมจะรุนแรงน้อยกว่าแบบเฉียบพลัน
โรคอัณฑะอักเสบจากภาวะแทรกซ้อนของคางทูม มักเกิดในเด็ก โดยจะมีอาการไข้และปวดเมื่อยตามร่างกายนำมาก่อน ต่อมาจะเกิดต่อมน้ำลายอักเสบทำให้คางบวม และภายใน 3–5 วันจึงตามมาด้วยอาการปวดและบวมที่ลูกอัณฑะ
การวินิจฉัยโรค
โรคอัณฑะอักเสบวินิจฉัยจากอาการ การตรวจร่างกาย และการตรวจพบเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ ในภาวะเฉียบพลันอาการจะคล้ายกับภาวะที่ลูกอัณฑะบิดเกลียว (testicular torsion) มาก และมีความจำเป็นที่จะต้องแยกทั้งสองภาวะนี้ออกจากกันให้ได้ตั้งแต่แรก เพราะการรักษาต่างกัน ภาวะลูกอัณฑะบิดเกลียวต้องได้รับการผ่าตัดฉุกเฉิน มิฉะนั้นลูกอัณฑะอาจตาย ทำให้เป็นหมันได้
ลักษณะที่ช่วยแยกทั้งสองภาวะนี้ ได้แก่
| โรคอัณฑะอักเสบ | ภาวะลูกอัณฑะบิดเกลียว |
การปวดของลูกอัณฑะ | - อาการปวดเริ่มขึ้นอย่างช้า ๆ เป็นวัน - สามารถระบุตำแหน่งที่เริ่มปวดก่อนได้ | - เริ่มปวดอย่างฉับพลัน ปวดเต็มที่ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง - ปวดไปทั้งหมด บางครั้งแยกไม่ได้ว่าปวดข้างไหน |
ตำแหน่งของลูกอัณฑะ | - ลูกอัณฑะยังคงวางตัวในแนวตั้งอยู่ที่ก้นถุง | - ลูกอัณฑะจะวางตัวในแนวนอน และลอยอยู่ระดับกลางถุง |
อาการอื่น | - ไข้ ปัสสาวะแสบขัด | - คลื่นไส้ อาเจียน |
การตรวจร่างกาย | - เมื่อยกถุงอัณฑะขึ้น อาการปวดจะทุเลา - เมื่อใช้ปากกาขีดที่ต้นขาด้านในขึ้นไปถึงขาหนีบข้างที่ปวดจะยังเห็นรีเฟล็กซ์ที่ถุงอัณฑะยกขึ้น | - ไม่ว่าจะยกถุงอัณฑะขึ้นข้างใด อาการปวดก็ไม่ดีขึ้น - เมื่อใช้ปากกาขีดที่ต้นขาด้านใน ถุงอัณฑะจะไม่ยกขึ้น |
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ | - พบเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะจำนวนมาก ถ้าเพาะเชื้อก็จะพบแบคทีเรีย - พบการเพิ่มขึ้นของเม็ดเลือดขาวในเลือดด้วย | - ผลการตรวจเลือดและปัสสาวะจะปกติหรือเกือบปกติ |
หากเป็นโรคอัณฑะอักเสบ ควรส่งตรวจเพาะเชื้อจากปัสสาวะเพื่อยืนยันเชื้อ โดยเฉพาะหากเป็นเชื้อหนองใน (gonorrhea) หรือคลาไมเดีย (chlamydia) จะต้องรักษาคู่นอนด้วย เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำและไม่ให้โรคกลายเป็นเรื้อรัง
การรักษา
โรคอัณฑะอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ หากเกิดจากสาเหตุอื่นก็ให้แก้ที่สาเหตุนั้น ในรายที่เป็นเรื้อรังต้องให้ยานาน 4-6 สัปดาห์ นอกจากนั้นก็ควรพักผ่อน ยกถุงอัณฑะให้สูงไว้ และใช้ยาแก้ปวดเท่าที่จำเป็น
การป้องกัน
- ป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ โดยการใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ
- หากมีอาการผิดปกติทางระบบสืบพันธุ์ เช่น ปัสสาวะแสบขัด ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา
- เด็กควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคคางทูมเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อัณฑะ
- รักษาสุขอนามัยบริเวณอวัยวะเพศให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ
- หากตรวจพบการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ต้องรักษาคู่นอนพร้อมกันเพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ
สรุป
โรคอัณฑะอักเสบเป็นภาวะที่พบบ่อยในผู้ใหญ่จากการติดเชื้อแบคทีเรียทางเพศสัมพันธ์ และในเด็กมักพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคคางทูม อาการสำคัญคือปวดและบวมที่ลูกอัณฑะ การวินิจฉัยต้องแยกจากภาวะลูกอัณฑะบิดเกลียวซึ่งเป็นอันตรายและต้องผ่าตัดฉุกเฉิน การรักษาส่วนใหญ่ใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับการพักผ่อนและดูแลอาการ หากดูแลรักษาถูกต้อง โรคนี้สามารถหายได้ และสามารถป้องกันได้ด้วยการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย รักษาสุขอนามัย และการได้รับวัคซีนในเด็ก