โรคฟิฟธ์ (Erythema infectiosum, Fifth disease)
โรคฟิฟธ์ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Slapped-cheek disease เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดผื่นแดงที่แก้มทั้งสองข้าง คล้ายถูกตบ พบได้บ่อยในเด็กอายุ 5–14 ปี สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อ Human parvovirus B19
โรคฟิฟธ์ติดต่อทางการหายใจ มีระยะฟักตัวประมาณ 5-10 วัน มักไม่มีอาการนำ หรือถ้ามีก็เป็นลักษณะไข้ต่ำ ๆ หนักศีรษะ คัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะคิดว่าเป็นหวัด พออาการเหล่านี้หายสนิทได้ 2-3 วันก็จะมีผื่นแดงขึ้นที่แก้มทั้งสองข้าง แก้มจะร้อน แต่ไม่เจ็บ
ต่อมาจะมีผื่นขึ้นตามแขนขา ลำตัว และอาจพบที่ฝ่ามือฝ่าเท้าด้วย ลักษณะผื่นจะเริ่มด้วยจุดแดงเล็ก ๆ เป็นปื้น แต่ต่อมาผื่นตรงกลางจะจางไป ทำให้ดูเหมือนเป็นร่างแหหรือลายลูกไม้ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคฟิฟธ์ ผื่นจะเป็นอยู่ประมาณ 5 วันก็จะหายไป แล้วกลับเป็นซ้ำใหม่ โดยเฉพาะเมื่อถูกความเย็น อาบน้ำ ออกกำลังกายกลางแดด หรือมีความเครียด ผื่นจะเป็น ๆ หาย ๆ อยู่ประมาณ 1-3 สัปดาห์ก็จะหายสนิท
โดยทั่วไปโรคฟิฟธ์ไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง แต่บางรายอาจมีอาการข้ออักเสบหลังผื่นหายไปแล้ว โดยเฉพาะข้อเล็ก ๆ เช่น นิ้วมือ ข้อมือ หรือข้อเท้า อาการข้อบวมและปวดมักพบในเด็กโตและผู้ใหญ่ และอาจเป็นต่อเนื่องหลายสัปดาห์
ในกรณีที่ลักษณะผื่นไม่ชัดเจน แพทย์อาจต้องวินิจฉัยแยกจากโรคหัดเยอรมัน (Rubella) หรือผื่นแพ้ยา โดยใช้การตรวจหา rubella HI antibody หรือซักประวัติการใช้ยา นอกจากนี้ หากมีอาการข้ออักเสบร่วมด้วย โดยเฉพาะในเพศหญิง ต้องวินิจฉัยแยกจากโรค SLE (Systemic lupus erythematosus) ด้วย
การรักษาโรคฟิฟธ์โดยทั่วไปไม่จำเป็น เนื่องจากอาการมักไม่รุนแรงและหายได้เอง หากมีอาการข้ออักเสบ แพทย์อาจให้ยาต้านการอักเสบเพื่อลดอาการปวด
สรุป
โรคฟิฟธ์เป็นโรคติดเชื้อไวรัส Human parvovirus B19 ที่พบมากในเด็กวัยเรียน มีลักษณะเฉพาะคือผื่นแดงที่แก้มและผื่นแบบร่างแหตามร่างกาย โรคติดต่อได้ทางการหายใจและมักหายเองภายใน 1–3 สัปดาห์ โดยไม่ทิ้งผลแทรกซ้อน ยกเว้นบางรายที่อาจมีอาการข้ออักเสบ ดังนั้น หากพบอาการผื่นแดงลักษณะจำเพาะ โดยเฉพาะในเด็ก ควรเฝ้าสังเกตอาการและดูแลตามความเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาพิเศษ