โรคเท้าช้าง (Filariasis)
โรคเท้าช้างเกิดจากพยาธิตัวกลมในตระกูล Filarioidea มีทั้งหมด 6 สายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคในคน โดยมี ยุงเป็นพาหะนำโรค พยาธิตัวแก่จะอาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลืองของคน ทำให้ทางเดินน้ำเหลืองอุดตันและบวมเรื้อรัง จนเกิดภาวะที่เรียกว่า “โรคเท้าช้าง”
พยาธิตัวเมียจะออกลูกเป็นไมโครฟิลาเรีย (microfilaria) เข้าสู่กระแสเลือด โดยในเวลากลางวันไมโครฟิลาเรียมักอยู่ในหลอดเลือดเล็ก ๆ ของปอดและอวัยวะภายใน ส่วนในเวลากลางคืนจะออกมาที่หลอดเลือดบริเวณผิวหนังและแขนขา เมื่อมียุงมากัดในช่วงเวลานี้ ไมโครฟิลาเรียจะถูกยุงดูดไป จากนั้นจะเจริญในตัวยุงราว 2 สัปดาห์ แล้วเคลื่อนมาที่ปากยุง ก่อนส่งต่อไปยังคนอื่นเมื่อยุงกัดอีกครั้ง
พยาธิสภาพ
ความผิดปกติของโรคเกิดจากพยาธิตัวแก่ทั้งที่ยังมีชีวิตและที่ตายแล้ว
ไปอุดกั้นทางเดินน้ำเหลือง ส่งผลให้เกิดการบวมน้ำเหลือง และมีการคั่งของน้ำเหลืองตามช่องต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ช่องท้อง ช่องทรวงอก และถุงอัณฑะ ผิวหนังบริเวณที่หลอดน้ำเหลืองอุดตันจะบวม ตอนแรกนุ่ม แต่ต่อมาจะหนา แข็ง คลำได้เป็นก้อนขรุขระ อาจมีน้ำเหลืองซึมออกจากหลอดน้ำเหลืองชั้นตื้น ทำให้ผิวหนังเปียกชื้นและติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนได้ง่าย
อาการของโรค
ผู้ที่ได้รับเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการ ในรายที่เกิดอาการจะแสดงออกหลังรับเชื้อเข้าไปประมาณ 8-12 เดือน เริ่มแรกจะมีแต่อาการเฉพาะที่ คือ ปวด บวม แดง ที่แขนขา หรือบริเวณถุงอัณฑะ ต่อมาจะมีต่อมน้ำเหลืองโต กดเจ็บ มักเป็นที่ขาหนีบ และข้อศอก มีไข้สูงฉับพลัน หนาวสั่น เหงื่อออก ซึม กระสับกระส่าย อาการจะเป็นอยู่ราว 7-10 วันก็จะทุเลาหายไป แล้วก็กลับมาเป็นซ้ำใหม่อีกเรื่อย ๆ
การอักเสบและอุดตันของหลอดน้ำเหลืองนั้นจะเป็นไม่เท่ากัน เช่น ถ้าเป็นทั้งสองขา ขาข้างหนึ่งมักเป็นมากกว่าอีกข้างหนึ่ง หากเป็นในช่องท้อง จะเกิดอาการปวดท้องเฉียบพลันเป็นพัก ๆ พักหนึ่ง ๆ เป็นอยู่หลายวัน แล้วหายไปเอง แล้วก็กลับเป็นซ้ำใหม่ หากเป็นที่อัณฑะ ลูกอัณฑะจะบวมโต เจ็บปวดอย่างมาก ผิวหนังของถุงอัณฑะจะแดง อาจมีน้ำอยู่ภายใน อาจเกิดข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ ผู้ป่วยจะมีไข้ หนาวสั่น ร่วมด้วย อาการจะค่อย ๆ หายไปเอง แล้วกลับเป็นมาอีก
เมื่อเป็นเรื้อรังหลายปี ผิวหนังบริเวณที่หลอดน้ำเหลืองอุดตันจะหนา แข็ง ขรุขระ ห้อยย้อยเป็นหลืบ ๆ โดยเฉพาะที่ขา จนมีลักษณะเหมือนเท้าช้าง หนักหลายกิโลกรัม ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น ต้องนุ่งโสร่งหรือเดินขากาง
การวินิจฉัย
การตรวจเลือดหาไมโครฟิลาเรียควรทำในเวลากลางคืน ระหว่างเวลาประมาณ 18.00-02.00 น. ถึงกระนั้นก็มักไม่ค่อยพบในรายที่เข้าสู่ภาวะเท้าช้างชัดเจนแล้ว ในกรณีนี้ต้องใช้การตรวจทางซีโรโลยี่ (Complement fixation test) ช่วย
อีกวิธีหนึ่งคือตรวจหาไมโครฟิลาเรียจากน้ำเหลือง มักใช้น้ำเหลืองที่คั่งอยู่ในถุงอัณฑะ ช่องท้อง หรือช่องเยื่อหุ้มปอด
การวินิจฉัยแยกโรค
ในระยะแรกที่มีไข้และการอักเสบของหลอดน้ำเหลือง ต้องวินิจฉัยแยกจาก
หลอดน้ำเหลืองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (lymphangitis)
ซึ่งมักอักเสบจากปลายเข้าสู่ส่วนกลาง ขณะที่โรคพยาธิฟิลาเรียจะเกิดการอักเสบ บวม แดง จากส่วนกลางไปสู่ส่วนปลาย
ในระยะที่มีต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะที่ขาหนีบ ต้องแยกจากโรค lymphogranuloma inguinale และโรค lymphoma ซึ่งต้องอาศัยการตรวจทางพยาธิวิทยา
ในรายที่มีน้ำคั่งในช่องท้องหรือช่องเยื่อหุ้มปอด ต้องแยกจากโรคอื่น ๆ
เช่น วัณโรคหรือมะเร็ง ส่วนในรายที่มีอาการเท้าช้างชัดเจนแต่ตรวจไม่พบไมโครฟิลาเรีย
ต้องพิจารณาโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกัน เช่น Milroy’s disease,
Familial lymphoedema, โรคหลอดน้ำเหลืองอักเสบจากเชื้อเรื้อรัง (chronic bacterial lymphangitis) หรือโรคมะเร็งระยะลุกลาม
การรักษา
ในระยะแรกที่มีการอักเสบของระบบน้ำเหลือง มีไข้ ควรตรวจเลือดหาไมโครฟิลาเรียทุกคืน และหากพบเม็ดเลือดขาวสูงอาจให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย พร้อมกับการให้ยาลดไข้ แก้ปวด พันผ้าที่แขนขาที่บวมด้วยผ้ายืด (elastic bandage) จากปลายขึ้นถึงโคน และยกแขนขาสูง รวมทั้งรักษาความสะอาดผิวหนังให้แห้งอยู่เสมอ
เมื่อพบตัวไมโครฟิลาเรียแล้ว ยาที่ได้ผลดีที่สุดคือ Diethylcarbamazine (Hetrazan) แต่มีข้อเสียคืออาจเกิดปฏิกิริยาแพ้ต่อไมโครฟิลาเรียที่ถูกฆ่าตายในระยะแรกของการรักษา โดยทั่วไปเชื้อจะหายไปจากเลือดภายใน 2–4 วัน แต่ต้องรับประทานต่อเนื่องนาน 3–6 สัปดาห์ ยาทางเลือกอื่น เช่น Flubendazole และ Levamisole
การรักษาด้วยการผ่าตัดสามารถช่วยได้เมื่อเกิดภาวะเท้าช้างชัดเจนแล้ว
โดยการตัดเนื้อเยื่อออกและตกแต่งใหม่ ปัจจุบันแพทย์ไทยมีการคิดค้นวิธี
“การขันชะเนาะ” เพื่อค่อย ๆ ลดอาการบวมของแขนขาโดยไม่ต้องผ่าตัด
พยากรณ์โรค
หากตรวจพบและรักษาในระยะเริ่มแรก โรคสามารถควบคุมได้และผู้ป่วยมีโอกาสหายดี แต่หากเข้าสู่ภาวะเรื้อรังจนเกิดเท้าช้างแล้ว มักไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
อาการบวมจะคงอยู่แม้ได้รับการรักษา และอาจมีภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อซ้ำซ้อน
ผู้ป่วยจึงต้องได้รับการดูแลต่อเนื่องเพื่อควบคุมอาการและป้องกันการติดเชื้อ
วิธีป้องกัน
การป้องกันโรคที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด โดยกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำรอบบ้าน นอนกางมุ้ง หรืออยู่ในห้องที่มีมุ้งลวดป้องกัน และเข้ารับการตรวจเลือดทันทีเมื่อมีอาการต้องสงสัย
สรุป
โรคเท้าช้างเป็นโรคติดพยาธิที่ถ่ายทอดโดยยุง ส่งผลต่อระบบน้ำเหลืองทำให้เกิดอาการบวมเรื้อรังและความพิการ การวินิจฉัยทำได้จากการตรวจหาไมโครฟิลาเรียในเลือดหรือน้ำเหลือง การรักษาที่ได้ผลดีที่สุดคือการใช้ยา Diethylcarbamazine
ร่วมกับการดูแลเพื่อลดอาการบวมและป้องกันการติดเชื้อซ้ำ การป้องกันที่สำคัญคือการป้องกันยุงกัดและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง แม้โรคนี้สามารถควบคุมได้หากรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่หากปล่อยเรื้อรัง ผู้ป่วยอาจต้องเผชิญกับความพิการถาวรและคุณภาพชีวิตที่ลดลง