ภาวะอาหารเป็นพิษจากเชื้อแบคทีเรียรุกล้ำลำไส้

เชื้อแบคทีเรียกลุ่มนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะรุกล้ำเข้าไปในเซลล์เยื่อบุลำไส้เล็กส่วนปลายและลำไส้ใหญ่ เพิ่มจำนวนภายในเยื่อบุ ทำให้เนื้อเยื่อเกิดการอักเสบและเกิดแผล ส่งผลให้ร่างกายสูญเสียน้ำทางระบบทางเดินอาหาร ระยะฟักตัวของโรคมักเกิน 12 ชั่วโมง ผู้ป่วยมักมีอาการไข้ ปวดท้อง และถ่ายอุจจาระที่ตรวจพบเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว ปริมาณที่พบมากหรือน้อยขึ้นกับความรุนแรงของโรค เชื้อสำคัญในกลุ่มนี้คือ Shigella ซึ่งทำให้เกิด โรคบิดไม่มีตัว (กล่าวถึงโดยละเอียดแยกไว้ต่างหาก)

ภาวะอาหารเป็นพิษจากเชื้อ Salmonella

เชื้อซัลโมเนลล่าเป็นเชื้อที่พบได้ในอุจจาระของคนและสัตว์ เมื่อปนเปื้อนลงในอาหารและเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้เกิดอาการท้องเสียภายในประมาณ 36 ชั่วโมง ร่วมกับไข้ อาเจียน และปวดท้อง อุจจาระอาจมีเลือดปน ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะหายได้เองภายใน 1–5 วัน การรักษาหลักคือการดื่มน้ำและเกลือแร่เพื่อชดเชยการสูญเสีย อาจใช้ยาลดอาการอาเจียนหรือยาแก้ปวดท้องตามความจำเป็น โดยทั่วไปยาปฏิชีวนะยังไม่จำเป็น ยกเว้นในผู้ป่วยที่มีไข้สูง หนาวสั่น หรืออาการรุนแรง หากท้องเสียและอาเจียนหยุดแล้วแต่ยังมีไข้ อาจต้องสงสัยภาวะโลหิตเป็นพิษจากเชื้อซัลโมเนลล่า ซึ่งจำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ

การวินิจฉัยทำได้โดยการเพาะเชื้อซัลโมเนลล่าจากอุจจาระหรือจากเลือด

ภาวะอาหารเป็นพิษจากเชื้อ Escherichia coli

E. coli เป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามปกติในลำไส้ของคน แต่หากปนเปื้อนในอาหารสามารถก่อโรคได้ รูปแบบการเกิดอาการมี 2 แบบ คือ

  1. แบบที่เชื้อรุกล้ำเยื่อบุลำไส้ – พบได้น้อยมาก อาการจะคล้ายกับโรคบิดไม่มีตัว คือมีไข้ ปวดท้อง และถ่ายเป็นมูกเลือด แต่มีระยะฟักตัวสั้นกว่า มักเกิดอาการภายใน 24 ชั่วโมง
  2. แบบที่เชื้อสร้างสารพิษในลำไส้ – เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยกว่า และก่อให้เกิดอาการท้องเสีย

การวินิจฉัยต้องอาศัยการเพาะเชื้อ E. coli จากอุจจาระ การรักษาหลักคือการดื่มน้ำและเกลือแร่เพื่อป้องกันการขาดน้ำ หากผู้ป่วยมีอาการถ่ายเป็นมูกเลือด ร่วมกับไข้ หรือมีอาการนานเกิน 3 วัน และผลเพาะเชื้อยืนยันว่าเกิดจาก E. coli อาจพิจารณาใช้ยานีโอมัยซินเพื่อช่วยกำจัดเชื้อให้เร็วขึ้น

ภาวะอาหารเป็นพิษจากเชื้อ Vibrio parahaemolyticus

เชื้อนี้มักพบในอาหารทะเล เช่น ปลา ปู กุ้ง หอย ในบางครั้งแม้จะทำให้สุกแล้วก็อาจวางปะปนกับที่ยังไม่สุก ทำให้เชื้อผ่านจากอาหารดิบไปยังอาหารสุกได้ ภาวะท้องร่วงชนิดนี้พบบ่อยมากในประเทศญี่ปุ่น เพราะคนญี่ปุ่นชอบรับประทานปลาดิบ ประมาณครึ่งหนึ่งของภาวะท้องร่วงเฉียบพลันในประเทศญี่ปุ่นเกิดจากแบคทีเรียชนิดนี้

ลักษณะเฉพาะของโรคคือ อุจจาระเหลวเป็นน้ำและมีกลิ่นเหม็นมากเหมือนหัวกุ้งเน่า อาการจะเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังทานอาหารทะเลที่ปนเปื้อนเชื้อ V. haemolyticus ผู้ป่วยจะเกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง บางรายอุจจาระอาจมีมูกเลือดปน ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง อาเจียน และมีไข้ร่วมด้วย อาการจะทุเลาได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ส่วนใหญ่จะหายภายใน 5 วัน แต่อาจจะอ่อนเพลียต่อไปอีกหลายวัน

การวินิจฉัยอาศัยประวัติการรับประทานอาหารทะเลและอาการเป็นหลัก การเพาะเชื้อจากอุจจาระใช้เวลาประมาณ 3 วัน ซึ่งเมื่อได้ผล ผู้ป่วยมักหายดีแล้ว การรักษาหลักคือการดื่มน้ำและเกลือแร่เพื่อทดแทนให้ทันการสูญเสีย



ภาวะอาหารเป็นพิษจากเชื้อ Campylobacter jejuni

เชื้อ C. jejuni พบได้ในลำไส้สัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะสัตว์ปีก และยังพบในนมวัว การรับประทานเครื่องในสัตว์หรือนมที่ไม่ผ่านความร้อนเพียงพอ อาจทำให้ติดเชื้อได้ อาการมักเกิดภายใน 3–5 วันหลังได้รับเชื้อ เริ่มจากไข้สูง ปวดศีรษะ และปวดกล้ามเนื้อ จากนั้นจะมีอาการปวดมวนท้องรอบสะดือ ปวดท้องรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และถ่ายเหลว อาการปวดท้องเด่นชัดจนผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไปพบแพทย์ เมื่อถ่ายออกหมดแล้ว ไข้จะลดลง และอาการจะทุเลาภายใน 2–3 ชั่วโมงถึง 2–3 วัน หากมีอาการนานเกิน 3 วัน ควรได้รับยาปฏิชีวนะ

ภาวะอาหารเป็นพิษจากเชื้อ Yersinia enterocolitica

เชื้อชนิดนี้อยู่ในอุจจาระของสัตว์หลายชนิด ทั้งสัตว์บก สัตว์ปีก และสัตว์น้ำ ติดต่อสู่คนได้จากอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อน ระยะฟักตัวค่อนข้างนานกว่าชนิดอื่น คือประมาณ 4–7 วัน อาการที่พบบ่อยคือไข้ ปวดท้อง และถ่ายเป็นมูกเลือด บางรายอาจมีอาการนานกว่า 7 วัน การวินิจฉัยทำโดยการเพาะเชื้อจากอุจจาระ หากมีอาการนานเกิน 3 วันควรได้รับยาปฏิชีวนะ

สรุป

ภาวะอาหารเป็นพิษจากเชื้อแบคทีเรียรุกล้ำลำไส้สามารถเกิดจากเชื้อหลายชนิด เช่น Shigella, Salmonella, E. coli, Vibrio parahaemolyticus, Campylobacter jejuni และ Yersinia enterocolitica ลักษณะร่วมคือก่อให้เกิดการอักเสบและความเสียหายต่อเยื่อบุลำไส้ ทำให้ผู้ป่วยมีไข้ ปวดท้อง และถ่ายเป็นมูกเลือดหรือท้องเสียรุนแรง การรักษาหลักคือการดื่มน้ำและเกลือแร่เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ส่วนการใช้ยาปฏิชีวนะจำเป็นเฉพาะกรณีที่อาการรุนแรง มีไข้สูง หรืออาการไม่ทุเลาภายในเวลาที่ควร การวินิจฉัยโดยการเพาะเชื้อช่วยยืนยันชนิดของเชื้อและกำหนดแนวทางรักษาที่เหมาะสม สิ่งสำคัญที่สุดคือการป้องกัน โดยรักษาสุขอนามัยในการปรุงและบริโภคอาหาร รวมถึงการดื่มน้ำสะอาด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ