โรคหนองใน (Gonorrhoea)
โรคหนองในเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยในประเทศไทย
บางครั้งเรียกว่า “โกโนเรีย” ตามชื่อเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุคือ
Neisseria gonorrhoeae เชื้อมักเจริญเติบโตที่อวัยวะสืบพันธุ์ แต่ก็สามารถพบได้ที่ช่องปาก คอ และทวารหนัก จุดเด่นของโรคนี้คือมีหนองข้นสีเหลืองจำนวนมากที่บริเวณติดเชื้อ อาการในเพศหญิงมักรุนแรงกว่าเพศชาย เนื่องจากอวัยวะสืบพันธุ์อยู่ภายใน และหากไม่ได้รับการรักษา อาจลุกลามเป็นโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบได้
อาการของโรค
โรคหนองในจัดเป็นโรคที่มีอาการเฉียบพลัน โดยมักแสดงอาการภายใน 2 สัปดาห์หลังติดเชื้อ
- ในผู้ชาย: เริ่มมีอาการแสบท่อปัสสาวะ มีน้ำใส ๆ ซึมออกมาในช่วงแรก
ต่อมาเปลี่ยนเป็นหนองข้นจำนวนมาก อาจมีเลือดปน บางรายมีอาการปวดหรือบวมที่ลูกอัณฑะข้างใดข้างหนึ่ง มักไม่ค่อยมีไข้ ยกเว้นเมื่ออัณฑะอักเสบรุนแรง ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้คือ ต่อมลูกหมากอักเสบ และท่อปัสสาวะตีบแคบ (ปัจจุบันพบน้อยลงเพราะมียารักษาที่ได้ผลดี)
- ในผู้หญิง: มักมีตกขาวสีเหลืองข้น มีกลิ่นเหม็น อาจปนเลือดหรือมีเลือดเปื้อนกางเกงใน เจ็บหรือปวดบริเวณท้องน้อยเหนือหัวเหน่า โดยเฉพาะระหว่างมีเพศสัมพันธ์
และมีอาการปัสสาวะแสบขัด บางรายมีไข้ต่ำ ๆ ในระยะแรก อาการอาจคล้ายการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หากแพทย์วินิจฉัยผิดและให้ยาที่ไม่ครอบคลุมเชื้อ อาจทำให้เชื้อลุกลามขึ้นไปที่มดลูกและรังไข่ กลายเป็นโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ เสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยากในอนาคต
- การติดเชื้อในช่องปากหรือทวารหนัก: จากเพศสัมพันธ์ทางเลือก
อาจทำให้เกิดอาการเจ็บคอ ทอนซิลบวมโต หรือทวารหนักบวมแดงจนเกิดฝี
- การติดเชื้อแบบแพร่กระจาย (Disseminated Gonococcal Infection, DGI): ทั้งเพศชายและหญิงอาจมีไข้สูง ชีพจรเร็ว เหงื่อออก และเชื้อมักกระจายไปตามข้อ โดยเฉพาะข้อเข่า ทำให้ข้ออักเสบ ปวดและบวม ร่วมกับอาการทางระบบสืบพันธุ์
- ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ: บางคนอาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่ยังสามารถแพร่เชื้อได้ นอกจากนี้ ทารกที่คลอดผ่านช่องคลอดของมารดาที่มีเชื้อ อาจติดเชื้อที่เยื่อบุตา
และมีความเสี่ยงเกิดแผลหรือกระจกตาฉีกขาด
การวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัยโรคหนองในทำได้ไม่ยาก หากผู้ป่วยให้ประวัติที่ชัดเจน
แพทย์มักตรวจโดยการย้อมเชื้อจากท่อปัสสาวะ (ในผู้ชาย) หรือจากช่องคลอด (ในผู้หญิง)
ร่วมกับการตรวจปัสสาวะ เชื้อ Neisseria gonorrhoeae เป็นแบคทีเรียแกรมลบ
มีลักษณะทรงกลมเล็ก ด้านหนึ่งเว้าเหมือนเมล็ดกาแฟ มักอยู่เป็นคู่ ๆ ภายในเม็ดเลือดขาว
การเพาะเชื้อจากหนองสามารถระบุเชื้อได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีวิธีการตรวจทางชีวโมเลกุล เช่น DNA probe, PCR และ LCR
ซึ่งให้ผลแม่นยำสูง
การรักษา
หากยังไม่มีภาวะแทรกซ้อน โรคหนองในสามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้
โดยใช้ยาฉีดร่วมกับยารับประทาน ตัวอย่างเช่น
- Ceftriaxone 250 mg ฉีดเข้ากล้ามเพียง 1 เข็ม ร่วมกับ
- Azithromycin 1 g รับประทานครั้งเดียว หรือ Doxycycline 100 mg วันละ 2 ครั้ง ต่อเนื่อง 7 วัน
สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อน ควรรับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อการติดตามใกล้ชิด
พยากรณ์โรค
หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โรคหนองในมักหายขาดและไม่ทิ้งผลแทรกซ้อน แต่หากละเลยการรักษา เชื้อสามารถลุกลามไปสู่อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน
ทำให้เกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบในผู้หญิง และอาจนำไปสู่ภาวะมีบุตรยาก ในผู้ชายอาจเกิดภาวะอัณฑะอักเสบ ต่อมลูกหมากอักเสบ หรือท่อปัสสาวะตีบ ส่วนผู้ที่ติดเชื้อแบบแพร่กระจาย (DGI) มีความเสี่ยงต่อภาวะข้ออักเสบเรื้อรังและภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด แต่โดยทั่วไป หากรักษาได้ทันท่วงที พยากรณ์โรคถือว่าดี
การป้องกัน
วิธีป้องกันโรคหนองในที่ดีที่สุดคือการปฏิบัติตัวอย่างปลอดภัยทางเพศสัมพันธ์ ได้แก่
- งดเว้นการมีเพศสัมพันธ์หรือมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
- ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยง
สำหรับทารกแรกคลอด โรงพยาบาลทุกแห่งจะหยอดตาด้วยยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ทั้งจากหนองในและจากเชื้อคลาไมเดีย
สรุป
โรคหนองในเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยและเกิดจากเชื้อ Neisseria gonorrhoeae สามารถแสดงอาการได้ทั้งที่อวัยวะสืบพันธุ์ ช่องปาก และทวารหนัก อาการในผู้หญิงรุนแรงกว่าผู้ชายและอาจนำไปสู่ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบและมีบุตรยาก การวินิจฉัยทำได้จากการย้อมเชื้อ การเพาะเชื้อ และการตรวจทางชีวโมเลกุล
การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะมีประสิทธิภาพสูง หากได้รับเร็วจะหายขาดและพยากรณ์โรคดี
การป้องกันที่สำคัญคือการใช้ถุงยางอนามัย งดพฤติกรรมเสี่ยง และการดูแลทารกแรกคลอดด้วยการหยอดตาป้องกัน เพื่อหยุดวงจรการแพร่เชื้อตั้งแต่ต้น