โรคติดเชื้อ H. pylori (Helicobacter pylori infection)
โรคติดเชื้อ Helicobacter pylori (เอช.ไพโลไร) เป็นการติดเชื้อเรื้อรังในกระเพาะอาหารที่พบได้บ่อยทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา อัตราการติดเชื้อในประชากรผู้ใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทยอยู่ระหว่าง 50–70% ขึ้นอยู่กับสุขอนามัยและสภาพเศรษฐกิจสังคม การติดเชื้อมักเกิดตั้งแต่วัยเด็กและอาจคงอยู่ไปตลอดชีวิตหากไม่ได้รับการรักษา
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
เชื้อ H. pylori เป็นแบคทีเรียรูปเกลียวที่อาศัยอยู่ในเยื่อบุกระเพาะอาหาร สามารถผลิตเอนไซม์ urease ที่ย่อยยูเรียให้เป็นแอมโมเนีย เพื่อช่วยให้เชื้ออยู่รอดในสภาพกรดของกระเพาะอาหาร การติดเชื้อมักเกิดจากการสัมผัสทางปาก เช่น การกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน หรือการสัมผัสน้ำลายและสิ่งคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
ปัจจัยเสี่ยง
- สุขอนามัยไม่ดี เช่น การดื่มน้ำไม่สะอาด
- อาศัยอยู่ในพื้นที่แออัด หรือครอบครัวมีหลายคนติดเชื้อ
- มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระเพาะอาหารเรื้อรังหรือมะเร็งกระเพาะอาหาร
- การใช้ยากลุ่ม NSAIDs ร่วมด้วย เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
อาการ
ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ (asymptomatic) แต่บางรายอาจเกิดโรคจากการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร เช่น
- ปวดหรือแสบท้องบริเวณลิ้นปี่ โดยเฉพาะขณะท้องว่าง
- จุกแน่นท้อง เรอบ่อย คลื่นไส้
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน อาจมีเลือดออกในกระเพาะอาหารหรืออุจจาระดำ
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยทำได้โดยตรวจหาเชื้อ H. pylori ด้วยวิธีต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของสถานพยาบาลและความจำเป็นในการส่องกล้อง
1. การตรวจที่ไม่ต้องส่องกล้อง (Non-invasive tests)
- Urea breath test – ตรวจลมหายใจหลังรับสารยูเรียที่มีคาร์บอนติดฉลาก เป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูง
- Stool antigen test – ตรวจหาแอนติเจนของเชื้อในอุจจาระ ใช้ได้ทั้งก่อนและหลังการรักษา
- Serology – ตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อในเลือด แต่ไม่สามารถแยกการติดเชื้อเก่ากับใหม่ได้
2. การตรวจโดยส่องกล้อง (Invasive tests)
- Rapid urease test – ทดสอบเอนไซม์ยูรีเอสจากชิ้นเนื้อกระเพาะอาหาร
- Histology – ตรวจดูเชื้อโดยกล้องจุลทรรศน์จากชิ้นเนื้อกระเพาะอาหาร
- Culture – เพาะเชื้อเพื่อทดสอบความไวต่อยาปฏิชีวนะ (ใช้ในรายดื้อยา)
ตารางการวินิจฉัยแยกโรค
โรค |
อาการหลัก |
ลักษณะเฉพาะทางวินิจฉัย |
โรคกระเพาะอักเสบจาก H. pylori |
ปวดแสบท้อง, จุกแน่นลิ้นปี่ |
ตรวจพบเชื้อ H. pylori ในกระเพาะอาหาร |
แผลในกระเพาะอาหาร |
ปวดท้องหลังอาหาร |
ส่องกล้องพบแผลในกระเพาะ, อาจพบ H. pylori ร่วมด้วย |
แผลในลำไส้เล็กส่วนต้น |
ปวดท้องขณะท้องว่าง, ดีขึ้นเมื่อกินอาหาร |
ส่องกล้องพบแผลใน duodenum |
กรดไหลย้อน (GERD) |
แสบร้อนกลางอก, เรอเปรี้ยว |
ส่องกล้องไม่พบเชื้อ H. pylori และไม่มีแผลในกระเพาะ |
การรักษา
เป้าหมายหลักของการรักษาคือการกำจัดเชื้อ H. pylori เพื่อลดการอักเสบและป้องกันการเกิดแผลหรือมะเร็งกระเพาะอาหารในอนาคต โดยสูตรการรักษาที่นิยมใช้คือการให้ยาหลายชนิดร่วมกันเป็นเวลา 10–14 วัน
1. สูตรมาตรฐาน (Triple therapy – 14 วัน)
- Proton pump inhibitor (PPI): Omeprazole 20 mg หรือ Esomeprazole 20 mg รับประทานวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าและเย็น
- Clarithromycin: 500 mg วันละ 2 ครั้ง
- Amoxicillin: 1,000 mg วันละ 2 ครั้ง
*(หากแพ้เพนิซิลลิน ให้ใช้ Metronidazole 500 mg วันละ 2 ครั้ง แทน)*
2. สูตรทางเลือก (Bismuth quadruple therapy – 10–14 วัน)
- Proton pump inhibitor (PPI): Omeprazole 20 mg วันละ 2 ครั้ง
- Bismuth subsalicylate: 120 mg วันละ 4 ครั้ง
- Metronidazole: 500 mg วันละ 3–4 ครั้ง
- Tetracycline: 500 mg วันละ 4 ครั้ง
3. สูตรทางเลือกเพิ่มเติม (Concomitant therapy – 10–14 วัน)
- PPI: Omeprazole 20 mg วันละ 2 ครั้ง
- Clarithromycin: 500 mg วันละ 2 ครั้ง
- Amoxicillin: 1,000 mg วันละ 2 ครั้ง
- Metronidazole: 500 mg วันละ 2 ครั้ง
หลังการรักษา ควรตรวจยืนยันการกำจัดเชื้อหลังหยุดยาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ โดยใช้ Urea breath test หรือ Stool antigen test
พยากรณ์โรค
ผู้ที่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องสามารถกำจัดเชื้อได้สำเร็จมากกว่า 85–90% อาการจะดีขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์หลังการรักษา หากไม่รักษา เชื้ออาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระยะยาว เช่น
- แผลในกระเพาะอาหารหรือแผลในลำไส้เล็กส่วนต้น
- กระเพาะอักเสบเรื้อรังชนิดฝ่อ
- มะเร็งกระเพาะอาหาร หรือ lymphoma ชนิด MALT
การป้องกัน
- รักษาสุขอนามัย เช่น ล้างมือก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
- ดื่มน้ำสะอาดและกินอาหารปรุงสุกใหม่
- หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะหรือแก้วน้ำร่วมกับผู้อื่น
- ตรวจและรักษาทั้งครอบครัวหากมีหลายคนติดเชื้อ
สรุป
โรคติดเชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุสำคัญของโรคกระเพาะอักเสบเรื้อรังและแผลในกระเพาะอาหาร การวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาแบบกำจัดเชื้อเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว การรักษาด้วยยาหลายชนิดร่วมกันมีประสิทธิภาพสูง และการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลเป็นกุญแจสำคัญในการลดอัตราการติดเชื้อซ้ำ