โรคเริมแต่กำเนิด (Congenital herpes simplex infection)

โรคเริมแต่กำเนิดพบได้ค่อนข้างน้อย เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่ร่างกายมารดาสร้างขึ้นหลังติดเชื้อประมาณ 6 สัปดาห์สามารถผ่านรกไปสู่ทารกได้ การติดเชื้อในทารกมักเกิดจากมารดาที่ติดเชื้อเริมครั้งแรกในระหว่างตั้งครรภ์หรือก่อนตั้งครรภ์ไม่นาน โดยเชื้อไวรัสสามารถเข้าสู่ทารกได้ 2 ทางหลัก ได้แก่

  1. ทางรก พบประมาณ 3-5% มารดาที่ติดเชื้อเริมในระหว่างตั้งครรภ์และมีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดเป็นเวลานานพอ เชื้อจะผ่านเข้าสู่ทารก ทำให้ทารกเกิดมาพร้อมความผิดปกติตั้งแต่แรกคลอด
  2. ทางช่องคลอด พบได้บ่อยที่สุด โดยทารกสัมผัสกับเชื้อโดยตรงขณะคลอดผ่านช่องคลอดที่มีเชื้อเริมอยู่ เด็กแรกคลอดมักดูปกติ แต่จะเริ่มมีอาการภายใน 1 เดือนแรก

หลังคลอด ทารกยังอาจติดเชื้อเริมได้จากการสัมผัสโดยตรง เช่น การกอดจูบจากผู้ใหญ่ที่มีแผลเริมที่ริมฝีปาก อย่างไรก็ตามกรณีนี้ไม่จัดว่าเป็นโรคเริมแต่กำเนิด แม้อาการที่เกิดขึ้นจะคล้ายกันก็ตาม

อาการของโรค

ทารกที่ติดเชื้อทางรกมักมีน้ำหนักแรกคลอดน้อย หลายรายคลอดก่อนกำหนด และแสดงความผิดปกติใน 3 ระบบหลัก ได้แก่

  1. ผิวหนัง เด็กจะมีรอยโรคที่ผิวหนังทั้งตัว อาจเป็นตุ่มน้ำใสที่กำลังแตก, ตุ่มที่ตกสะเก็ด, แผลเป็น, จุดขาวหรือเข้ม, ผื่นแดง, หรือมีหย่อมของหนังศีรษะที่ไม่มีเส้นผม
  2. ตา มีดวงตาเล็ก ประสาทตาฝ่อ ไม่มีจอตาหรือมีแต่จอตาอักเสบ (chorioretinitis)
  3. สมอง เด็กมีศีรษะเล็ก สมองเล็ก มีหินปูนอยู่ในเนื้อสมอง

ทารกที่ติดเชื้อทางช่องคลอดจะแสดงอาการภายใน 1-4 สัปดาห์แรกหลังคลอด เด็กจะมีไข้ โยเย อาการแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบ แต่ส่วนใหญ่จะมีอาการทับซ้อนกันมากกว่าหนึ่งรูปแบบ ดังนี้

  • อาการเฉพาะที่ผิวหนัง ตา และปาก (SEM) เด็กจะมีตุ่มน้ำใสขึ้นทั้งตัว รวมทั้งที่ตาและปาก ตุ่มน้ำเหล่านี้แตกง่าย เมื่อแตกจะเป็นแผลมีน้ำเหลืองไหล ประมาณ 5-7 วันตุ่มจะแห้งและตกสะเก็ด แล้วค่อย ๆ หายไป
  • อาการทางสมอง (CNS) เด็กจะชักเป็นพัก ๆ ซึมมาก ตัวสั่น (tremors) ไม่ดูดนม อุณหภูมิร่างกายไม่คงที่ กระหม่อมโป่ง
  • อาการต่าง ๆ ของอวัยวะภายใน (DIS) เช่น ตัวเหลือง เลือดออกง่าย หายใจเร็ว มีบางช่วงที่หยุดหายใจ มือเท้าเขียว ความดันโลหิตต่ำ

หากรักษาจนรอดชีวิตก็ยังมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว เช่น เป็นโรคลมชัก ตาบอด พัฒนาการทางร่างกายไปได้ช้า ไม่สามารถเรียนได้เหมือนเด็กปกติ

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยโรคเริมแต่กำเนิดทำได้ไม่ง่ายนักถ้าประวัติของมารดาและอาการแสดงของทารกไม่ชัดเจน การวินิจฉัยที่แน่ชัดต้องอาศัยการเพาะเชื้อไวรัสเริมจากเลือด น้ำไขสันหลัง ปัสสาวะ น้ำมูกน้ำตา และน้ำจากแผลที่ผิวหนัง (ถ้ามี) รวมถึงการตรวจ HSV-PCR จากน้ำไขสันหลังเพื่อเพิ่มความแม่นยำ



การรักษา

ทารกที่สงสัยหรือได้รับการยืนยันว่าเป็นโรคเริมแต่กำเนิด ต้องได้รับการรักษาด้วยยา Acyclovir ขนาด 60 มก./กก./วัน ฉีดเข้าเส้น เป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค แม้การรักษาจะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิต แต่ผลลัพธ์มักไม่ดีเท่ากับการป้องกันการติดเชื้อแต่แรก

พยากรณ์โรค

พยากรณ์โรคเริมแต่กำเนิดขึ้นอยู่กับรูปแบบการติดเชื้อและความรุนแรง หากรักษาเร็วและได้รับ Acyclovir อย่างเหมาะสม อัตราการรอดชีวิตจะเพิ่มขึ้น แต่เด็กจำนวนมากยังมีภาวะแทรกซ้อนระยะยาว โดยเฉพาะกรณีที่มีการติดเชื้อทางสมองหรืออวัยวะภายใน พยากรณ์โรคโดยรวมจึงค่อนข้างไม่ดี และเน้นการป้องกันมากกว่าการรักษา

การป้องกัน

วิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกัน โดยให้ความรู้แก่หญิงวัยเจริญพันธุ์เกี่ยวกับโรคเริมและการฝากครรภ์เพื่อคัดกรองโรคต่าง ๆ เพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง หากมารดามีประวัติเป็นเริมกำเริบบ่อย ควรได้รับยา Acyclovir รับประทานป้องกันในช่วงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ และหากใกล้คลอดแล้วยังมีแผลที่ช่องคลอด ควรแจ้งแพทย์ทันทีเพื่อพิจารณาการรักษาและการคลอดโดยการผ่าท้องแทนการคลอดทางช่องคลอด

สรุป

โรคเริมแต่กำเนิดเป็นภาวะที่พบได้ไม่บ่อย แต่มีผลกระทบต่อทารกสูง โดยการติดเชื้ออาจเกิดผ่านรกหรือช่องคลอด อาการมีความหลากหลายตั้งแต่ผิวหนัง ตา สมอง ไปจนถึงอวัยวะภายใน การรักษาด้วย Acyclovir แม้จะช่วยได้ แต่ยังมีข้อจำกัดและทารกเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนระยะยาว ดังนั้นการป้องกันโดยการดูแลสุขภาพมารดา การใช้ถุงยางอนามัย การติดตามฝากครรภ์ และการจัดการการคลอดที่เหมาะสมจึงเป็นหัวใจสำคัญในการลดความเสี่ยงของโรคนี้