โรคฮีสโตพลาสโมสิส (Histoplasmosis)

โรคฮีสโตพลาสโมสิสเกิดจากเชื้อรา Histoplasma ซึ่งมี 2 รูปลักษณ์ ได้แก่ รูปเส้นใย (mycelium) ในดินหรือสิ่งแวดล้อม และรูปยีสต์ (ทรงกลมมีแคปซูลหุ้ม) คนติดเชื้อโดยการสูดหายใจเอาสปอร์ของเชื้อเข้าไป เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายคนเชื้อจะเจริญอยู่ในเซลล์ฮีสติโอไซต์ (histiocyte) ผู้ที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่จะไม่ปรากฏอาการ แต่ในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ หรือผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง ที่ได้รับเชื้อเข้าไปสะสมเป็นเวลานาน ๆ เช่น ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับไก่ นก และค้างคาว จะเกิดโรคฮีสโตพลาสโมสิสตามอวัยวะต่าง ๆ

อาการของโรค

โรคฮีสโตพลาสโมสิสแสดงอาการได้หลายระบบและหลายรูปแบบ ดังนี้

  1. ปอดอักเสบ (Pulmonary histoplasmosis) เกิดได้ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง
    • แบบเฉียบพลัน ผู้ติดเชื้อร้อยละ 90 ไม่แสดงอาการ ส่วนอีกร้อยละ 10 จะเริ่มมีอาการภายใน 14 วันหลังได้รับเชื้อ เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดท้อง หากได้รับเชื้อในปริมาณมาก อาจมีอาการไอ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือไอเป็นเลือด แต่อาการมักหายได้เอง
    • แบบเรื้อรัง มักพบในผู้สูงอายุที่มีโรคปอดเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีไข้เป็น ๆ หาย ๆ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ไอเรื้อรัง หายใจหอบ เจ็บหน้าอก หรือไอเป็นเลือด การเอกซเรย์พบฝ้าที่ปอดทั้งสองข้าง เยื่อหุ้มปอดหนา มีหินปูนหลายแห่งในปอด ลักษณะคล้ายวัณโรคปอด บางครั้งอาจพบโพรงลมที่มีผนังหนา (thick-walled cavities) และเงาของหินปูนที่ม้ามด้วย
  2. แผลเรื้อรัง (Mucocutaneous histoplasmosis) พบบ่อยในช่องปาก ลิ้น ใบหน้า แก้ม หรือดั้งจมูก ลักษณะเป็นแผลกว้าง ขอบและพื้นแผลนูน มักเกิดหลายแห่ง
  3. ชนิดแพร่กระจาย (Disseminated histoplasmosis) มักพบในผู้ป่วยโรคเอดส์ มะเร็งของระบบเลือด หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เชื้อที่เคยได้รับเข้าไปก่อนหน้านี้จะกลับมาเจริญเติบโตและก่อโรคขึ้น อาการคือมีไข้ ไอ เหนื่อย เบื่ออาหาร ตับ ม้าม และต่อมน้ำเหลืองโต น้ำหนักตัวลด ส่วนมากพบแผลเปื่อยภายในปาก ลำคอ กระเพาะอาหาร ลำไส้และผิวหนังด้วย แผลเหล่านี้อาจทำให้ปวดท้องและท้องร่วงเรื้อรัง ร้อยละ 15 มีอาการทางระบบประสาท เช่น เดินเซ ชัก สับสน ปวดศีรษะ คอแข็ง และจากการชันสูตรศพพบความผิดปรกติที่ต่อมหมวกไตด้วยเสมอ

การวินิจฉัยโรค

โรคนี้พบไม่บ่อยแต่มีความรุนแรง ควรนึกถึงในผู้ป่วยที่มีไข้หาสาเหตุไม่พบ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานหรืออาศัยใกล้ชิดกับนก ไก่ หรือค้างคาว การวินิจฉัยที่แน่ชัดคือการตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) แล้วตรวจด้วยวิธี PAS หรือ GMS พบเชื้อในเซลล์ macrophage หรือการเพาะเชื้อจากแผล เสมหะ ปัสสาวะ เลือด ไขกระดูก หรือน้ำไขสันหลัง

การตรวจหาหลักฐานการได้รับเชื้อ เช่น การทดสอบผิวหนังโดยฮิสโตพลาสมิน, การตรวจ Immunodiffusion test (ID), Complement fixation test (CF) หรือการตรวจ PCR ก็เป็นการสนับสนุนการวินิจฉัยโรคนี้อีกทางหนึ่ง แต่ควรใช้เมื่อมีอาการที่ต้องสงสัยเกิดขึ้นเท่านั้น เพราะผู้เคยสัมผัสเชื้อมาแล้วจะให้ผลบวกไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคหรือไม่ก็ตาม



การรักษา

แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและภาวะภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย

  • การติดเชื้อไม่รุนแรง (เช่น ผู้มีอาการเล็กน้อยที่ปอด) อาจไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านเชื้อรา อาการมักหายได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์
  • การติดเชื้อปานกลางถึงรุนแรง ใช้ยาต้านเชื้อรา เช่น itraconazole เป็นหลัก โดยให้ต่อเนื่องหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
  • กรณีรุนแรงหรือชนิดแพร่กระจาย โดยเฉพาะในผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง แนะนำให้เริ่มด้วย amphotericin B ทางหลอดเลือดดำ จากนั้นเปลี่ยนเป็น itraconazole เพื่อรักษาต่อเนื่อง
  • ในรายที่มีอาการหายใจลำบากมาก อาจพิจารณาใช้สเตียรอยด์ชั่วคราวร่วมด้วย เพื่อลดการอักเสบ

พยากรณ์โรค

ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติและติดเชื้อไม่รุนแรง มักหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเกิดโรคชนิดแพร่กระจาย จะมีอัตราการเสียชีวิตสูงหากไม่ได้รับการรักษา แม้ได้รับการรักษาแล้วบางรายก็อาจมีการกลับมาเป็นซ้ำได้

การป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่ที่มีการสะสมของมูลค้างคาวหรือนก เช่น ถ้ำ หรือเล้าไก่
  • หากจำเป็นต้องเข้า ควรสวมหน้ากากกรองฝุ่นและอุปกรณ์ป้องกัน
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องควรหลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยงโดยเด็ดขาด

สรุป

โรคฮีสโตพลาสโมสิสเป็นโรคเชื้อราที่เกิดจากการสูดสปอร์ของเชื้อ Histoplasma ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ แต่ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมีโรคปอดเรื้อรัง อาจมีอาการรุนแรงหรือแพร่กระจายได้ การวินิจฉัยอาศัยการตรวจทางพยาธิวิทยา การเพาะเชื้อ หรือการตรวจทางห้องปฏิบัติการเฉพาะทาง การรักษาด้วยยาต้านเชื้อราจำเป็นในรายที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง พยากรณ์โรคโดยทั่วไปดีในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติ แต่ในผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต การป้องกันที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง