โรคพุพอง (Impetigo)
โรคพุพองเป็นโรคติดเชื้อของชั้นหนังกำพร้า พบได้ทุกวัย แต่พบบ่อยในเด็กวัย 2-5 ขวบ ติดต่อกันง่ายทางการสัมผัสกับรอยโรคโดยตรง ไม่อันตราย สามารถหายเองได้ใน 2 สัปดาห์โดยไม่มีแผลเป็น เชื้อที่เป็นสาเหตุส่วนใหญ่คือ Staphylococcus aureus และ Streptococcus pyogenes
อาการของโรค
โรคพุพองมีได้ 2 ลักษณะคือ แบบที่ไม่มีตุ่มน้ำ (non-bullous) กับแบบที่เป็นตุ่มน้ำใส (bullous)
แบบที่ไม่มีตุ่มน้ำ พบบ่อยที่สุด โดยมากมักแพร่กระจายในโรงเรียนอนุบาล รอยโรคเริ่มจากตุ่มแดงเพียง 1 ตุ่ม แล้วพัฒนาเป็นตุ่มหนองซึ่งแตกออกเองอย่างรวดเร็ว เด็กมักเกาจนรอยโรคกระจายไปตามผิวหนังส่วนอื่น ๆ เมื่อแผลแตกจะมีน้ำเหลืองแห้ง ๆ ปกคลุม อาการที่พบเด่นชัดคือคันมากกว่าปวด
แบบที่มีตุ่มน้ำใส มักพบในทารกแรกเกิด รอยโรคจะขึ้นตามที่อับชื้น สาเหตุเกิดจากสารพิษ (exotoxin) ของเชื้อ S. aureus ที่ทำให้ชั้นหนังกำพร้าเกิดตุ่มน้ำใสขนาดใหญ่ ผนังตุ่มบาง แตกง่าย ผิวรอบตุ่มมีรอยแดง เด็กจะมีอาการแสบและงอแง แต่โดยทั่วไปจะไม่พบไข้หรืออาการรุนแรงอื่น ๆ
ภาวะแทรกซ้อน
สำหรับพุพองแบบไม่มีตุ่มน้ำ หากเกิดจากเชื้อ Streptococcus group A
อาจนำไปสู่ภาวะหน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน (post-streptococcal glomerulonephritis)
ซึ่งการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสมจะช่วยลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนนี้ได้
ส่วนพุพองแบบตุ่มน้ำใส อาจนำไปสู่กลุ่มอาการผิวหนังลอกทั้งตัว
(Staphylococcal scalded skin syndrome, SSSS) ซึ่งเป็นภาวะรุนแรงจากสารพิษของเชื้อแพร่เข้าสู่กระแสเลือด ผู้ป่วยจะมีไข้ กระสับกระส่าย และภายใน 24-48 ชั่วโมงจะเกิดตุ่มน้ำใสทั่วตัว เมื่อตุ่มแตก หนังกำพร้าจะหลุดลอกจนเห็นหนังแท้สีแดงคล้ายถูกไฟไหม้
มีการสูญเสียน้ำทางผิวหนังอย่างต่อเนื่อง เด็กจะเจ็บปวดและต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
การวินิจฉัยโรค
โรคพุพองวินิจฉัยจากลักษณะทางคลินิก การเพาะเชื้อทั้งจากเลือดและผิวหนังมีโอกาสพบเชื้อได้น้อยมาก การตรวจนับเม็ดเลือดก็มักจะปกติ ในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคพุพองแบบตุ่มน้ำใส ต้องวินิจฉัยแยกโรคจากโรคบุลลัสเพมฟิกอยด์ (Bullous pemphigoid), โรคเพมฟิกัสวัลการิส (Pemphigus vulgaris), โรคเริม, อีสุกอีใส, ตุ่มจากความร้อน, และตุ่มจากแมลงกัด จากประวัติและตำแหน่งของรอยโรค
การรักษา
ในรายที่เป็นเพียงเล็กน้อย สามารถรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทา
หรือใช้น้ำยา antiseptic เช็ดทำความสะอาดบริเวณแผล หากรอยโรคมีจำนวนมากหรือกระจายกว้าง ควรใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน แม้ว่าโรคจะสามารถหายเองได้ แต่การรักษาจะช่วยเร่งการหาย ลดการแพร่กระจาย และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
สรุป
โรคพุพองเป็นการติดเชื้อผิวหนังที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก แม้ไม่ใช่โรคร้ายแรงและมักหายได้เอง แต่ควรให้การรักษาเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ไตอักเสบเฉียบพลัน หรือกลุ่มอาการผิวหนังลอกทั้งตัว การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทั้งชนิดทาและรับประทานจะช่วยให้โรคหายเร็วขึ้นและลดความรุนแรงของโรค
ผู้ปกครองควรใส่ใจดูแลความสะอาดผิวหนังเด็ก หลีกเลี่ยงการเกาแผล และรีบพาเด็กไปพบแพทย์หากมีอาการรุนแรง