ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อไวรัส Myxovirus influenzae ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ A, B และ C

ไข้หวัดใหญ่ชนิด A มีความรุนแรงที่สุด สามารถเกิดได้ทั้งในคนและสัตว์ ส่วนชนิด B และ C พบเฉพาะในคน โดยมีความรุนแรงลดหลั่นกันไป

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A ยังแบ่งย่อยตามสัดส่วนของแอนติเจน H (Hemagglutinin) และ N (Neuraminidase) ที่ผิวของไวรัส เช่น H:N = 1:5 คือชนิดย่อย H5N1 สัดส่วนของแอนติเจนที่แตกต่างกันนี้ กระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกันได้แตกต่างกัน การเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนของแอนติเจนทั้งสองชนิดนี้ เกิดจากการรวมตัวของสารพันธุกรรมจากเชื้อต่างสายพันธุ์ หรือจากการเปลี่ยนแปลงในสารพันธุกรรมของเชื้อเพียงเล็กน้อย และทำให้เกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ย่อย ๆ ทุก 1-3 ปี และการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้จะทำให้กลไกการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียตามธรรมชาติเสียไปชั่วคราวอีกด้วย

อาการของโรค

หลังรับเชื้อเข้าทางจมูกหรือเยื่อบุตาประมาณ 1-3 วัน จะเริ่มมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียอย่างมาก บางรายมีหน้าแดง ตาแดง และไอแห้ง ๆ แต่ไม่ค่อยพบอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หรือท้องเสีย ในรายที่ไม่รุนแรง ไข้มักหายภายใน 2-3 วัน แต่อ่อนเพลียอาจอยู่นานถึง 1-4 สัปดาห์

ในรายที่รุนแรง อาจพบความผิดปกติของหัวใจ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ ปลายประสาทอักเสบ (Guillain-Barré syndrome) หรือ Reye's syndrome ในเด็ก อาจมีอาการหายใจลำบาก เจ็บหน้าอก เสมหะมีเลือดปน และอาจเกิดภาวะหายใจล้มเหลวโดยเฉียบพลัน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและหญิงตั้งครรภ์

ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุดของโรคไข้หวัดใหญ่คือ ปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเกิดได้ทั้งในรายที่มีอาการรุนแรงและไม่รุนแรง เพราะเชื้อไวรัส influenza นี้ทำให้กลไกการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียตามธรรมชาติเสียไป โดยเฉพาะในช่วง 4 วันแรก ในรายที่อาการไม่รุนแรง อาการจะดีขึ้นมาสักพักหนึ่ง แล้วกลับมามีไข้หนาวสั่น ไอแบบมีเสมหะ เจ็บหน้าอกขณะหายใจ เมื่อตรวจเลือด จะพบจำนวนเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น และเอ็กซเรย์ปอดจะเห็นภาวะปอดอักเสบเฉพาะที่ชัดเจน

ในรายที่มีอาการรุนแรง ภาวะแทรกซ้อนนี้จะเกิดเร็วขึ้น ไข้จะไม่ลดลงเลย เอ็กซเรย์ปอดอาจเห็นน้ำหรือหนองในช่องเยื่อหุ้มปอดร่วมกับเงาอักเสบของปอดทั้งกลีบ เชื้อที่พบมีทั้ง Pneumococcus, Staphylococcus, Hemophilus และเชื้อกรัมลบชนิดอื่น ๆ โอกาสแท้งบุตร หรือเสียชีวิตมีได้สูงหากเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนขึ้น

การวินิจฉัย

อาการของไข้หวัดใหญ่คล้ายการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจเฉียบพลันทั่วไป ในช่วงที่ไม่มีการระบาด การตรวจหาสาเหตุทุกกรณีไม่จำเป็นเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ในช่วงการระบาด การตรวจ swab จากจมูกหรือลำคอสามารถช่วยยืนยันได้ และช่วยให้คัดเลือกผู้ป่วยที่เข้าข่ายต้องติดตามอาการและภาวะแทรกซ้อนต่อไปได้ง่ายขึ้น การตรวจที่แม่นยำที่สุดคือการตรวจ PCR ของไวรัส ใช้เวลาประมาณ 3 วันจึงทราบผล

โดยทั่วไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง แม้ในช่วงการระบาด อาการรุนแรงพบไม่ถึง 5% และมักดีขึ้นเองหลังผ่านไป 2-3 วันแรก (แต่อาการที่เริ่มจู่โจมใน 1-2 วันแรกอาจทำให้ตื่นตระหนก) ในผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันปกติ เมื่อพ้นช่วง 1-3 วันแรกนี้ไปแล้วจะรู้สึกดีขึ้นตามลำดับ หากไม่เป็นไปตามนี้ค่อยไปตรวจเลือดหาสาเหตุของไข้ต่อ



การรักษา

ยาต้านไวรัส Oseltamivir (Tamiflu) ใช้รักษาไข้หวัดใหญ่ชนิด A และ B หากเริ่มให้ภายใน 48 ชั่วโมงหลังเริ่มอาการจะได้ผลดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อเพื่อป้องกันการดื้อยา

ผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงสามารถพักรักษาตัวที่บ้านได้ โดยเน้นการนอนพัก ดื่มน้ำมาก ๆ รับประทานยาลดไข้หรือยาบรรเทาตามอาการ ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะ เว้นแต่มีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน

ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือมีภาวะซึม ควรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยเฉพาะผู้สูงอายุและหญิงตั้งครรภ์ซึ่งเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน

การป้องกัน

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ช่วยลดโอกาสการป่วยได้ร้อยละ 50-80 เนื่องจากเชื้อเปลี่ยนสายพันธุ์บ่อย จึงต้องฉีดซ้ำทุกปี กลุ่มที่ควรได้รับวัคซีนประจำ ได้แก่

  • ผู้ป่วยโรคหัวใจ เช่น โรคลิ้นหัวใจรูมาติก กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย
  • ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง เช่น ถุงลมโป่งพอง
  • ผู้ป่วยเบาหวาน
  • ผู้สูงอายุเกิน 65 ปี

นอกจากนี้ การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลก็สำคัญ เช่น ล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสตา จมูก ปาก หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดอากาศไม่ถ่ายเท และหากสงสัยว่าติดเชื้อควรสวมหน้ากากเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

สรุป

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันที่พบได้บ่อยและสามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้มีโรคประจำตัว การรักษาส่วนใหญ่เป็นการประคับประคอง และใช้ยาต้านไวรัสในบางกรณี การป้องกันด้วยวัคซีนและการรักษาสุขอนามัยส่วนตัวเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดความเสี่ยงของโรค