โรคอุจจาระร่วงจากโปรโตซัวอื่น
มีโปรโตซัวอื่น ๆ อีกหลายชนิดที่ทำให้เกิดโรคในทางเดินอาหาร ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง และบางชนิดก็หายเองได้ จะขอกล่าวไว้ที่นี้เพียงสังเขป
โรคบาแลนติดิเอสิส (Balantidiasis)
เกิดจากโปรโตซัว Balantidium coli ซึ่งมีวงจรชีวิตอยู่ในน้ำในรูปซิสต์ที่มี food vacuole อันใหญ่อยู่ภายใน เชื้อนี้พบได้ในสัตว์หลายชนิดโดยไม่ทำให้เกิดอาการ หมูเป็นแหล่งรังโรคที่สำคัญ ประมาณร้อยละ 25 ของผู้ป่วยมีประวัติสัมผัสกับหมู เมื่อรับเชื้อทางปากจะมีเพียง 1 ใน 5 ที่แสดงอาการ โดยส่วนใหญ่มักเป็นอาการท้องเดินเรื้อรังและขาดสารอาหาร
การวินิจฉัยทำโดยตรวจพบตัวโทรโฟซอยต์ในอุจจาระสด
การรักษา: ใช้ยา Tetracycline ขนาด 500 มก. รับประทานวันละ 4 ครั้ง นาน 10 วัน หรือ Metronidazole ขนาด 750 มก. วันละ 3 ครั้ง นาน 5 วัน
ควบคู่กับการควบคุมแหล่งรังโรคในสัตว์และพัฒนาสุขอนามัยของชุมชน
โรคไอโซสปอริเอสิส (Isosporiasis)
เกิดจากโปรโตซัวในจีนัส Isospora ที่อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น คน สุนัข และหมู ส่วนใหญ่ไม่ทำให้เกิดอาการอะไร คนติดโรคนี้โดยการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่มีโอโอซิสต์นี้เข้าไป เชื้อจะแบ่งตัวอยู่ในผนังลำไส้เล็กส่วนต้น ทำให้มีอีโอซิโนฟิลอยู่ในผนังลำไส้เป็นจำนวนมาก และเป็นสาเหตุหนึ่งของโรค Eosinophilic enteritis
ส่วนน้อยของผู้ติดเชื้อจะแสดงอาการหลังได้รับเชื้อเข้าไปแล้วประมาณ 7 วัน โดยจะมีอาการท้องเดิน คลื่นไส้ ปวดท้อง เบื่ออาหาร อาจมีอาการไข้ แต่ไม่รุนแรง เพียงไม่กี่วันก็หายไปเอง มีบางรายเท่านั้นที่เป็นเรื้อรังเป็นปี ๆ
การวินิจฉัยทำโดยตรวจพบโอโอซิสต์ในอุจจาระหรือน้ำที่ดูดออกมาจากลำไส้เล็กส่วนต้น
การรักษา: ยาหลักคือ Trimethoprim-sulfamethoxazole (TMP-SMX) ขนาด 160/800 มก. (1 เม็ด) วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 7-10 วัน หากเป็นเรื้อรังอาจต้องทานนานถึง 3-4 สัปดาห์
การป้องกันทำได้โดยการกินอาหารสุก สะอาด ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร ไม่ใช้อุจจาระสดทำปุ๋ย และมีส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
โรคคริพโตสปอริดิโอสิส (Cryptosporidiosis)
เกิดจากโปรโตซัวในจีนัส Cryptosporidium ทำให้เกิดอาการท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ส่วนผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติมักหายได้เอง
การวินิจฉัยต้องย้อมสีอุจจาระด้วยวิธี modified acid fast เพื่อหาโอโอซิสต์ที่ติดสีแดง หรือโดยการตัดชิ้นเนื้อของลำไส้มาตรวจทางพยาธิวิทยา
การรักษา: ปัจจุบันยาที่ใช้ได้ผลบ้างคือ Nitazoxanide ขนาด 500 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน 3 วัน (ในเด็กใช้ตามน้ำหนักตัว) แต่ผลการรักษาอาจไม่ชัดเจนในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
โรคซาร์โคซิสโตสิส (Sarcocystosis)
เกิดจากเชื้อในจีนัส Sarcocystis มีโฮสต์ 2 ชนิด ได้แก่ โฮสต์กลาง (เช่น วัว ควาย แพะ แกะ คน) และโฮสต์เฉพาะ (เช่น คน สุนัข แมว) โดยคนสามารถเป็นได้ทั้งโฮสต์กลางและโฮสต์เฉพาะ
หากรับประทานเนื้อสัตว์ดิบที่มีซูโดซิสต์ของเชื้อ จะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด และท้องเดิน ซึ่งมักหายเองภายใน 1-2 วัน แต่หากได้รับเชื้อติดต่อกัน เชื้ออาจสะสมในกล้ามเนื้อ ทำให้มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ผิวหนังบวม และกล้ามเนื้ออ่อนแรง
การวินิจฉัยอาศัยประวัติการกินเนื้อสุก ๆ ดิบ ๆ ตรวจอุจจาระพบโอโอซิสต์ หรือการตัดชิ้นเนื้อพบซูโดซิสต์
การรักษา: อาการท้องเดินมักหายเองโดยไม่ต้องใช้ยา หากเป็นที่กล้ามเนื้ออาจต้องผ่าตัดเอาออก บางกรณีอาจใช้ยา Albendazole หรือ Praziquantel แต่ประสิทธิภาพยังไม่แน่นอน
โรคบลาสโตซิสโตสิส (Blastocystosis)
เกิดจากโปรโตซัวในจีนัส Blastocystis ซึ่งโดยทั่วไปไม่ก่อโรค การติดเชื้อเกิดจากการกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนซิสต์ของเชื้อ โดยบางรายอาจมีอาการท้องเดินเล็กน้อย
การรักษา: หากมีอาการ สามารถใช้ Metronidazole ขนาด 750 มก. วันละ 3 ครั้ง นาน 10 วัน
หรือ Trimethoprim-sulfamethoxazole (TMP-SMX) เป็นทางเลือก
สรุป
โปรโตซัวหลายชนิดสามารถทำให้เกิดอาการอุจจาระร่วงและความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร แม้อาการส่วนใหญ่มักไม่รุนแรงและหายเองได้ แต่บางกรณีอาจเป็นเรื้อรังหรือนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน การวินิจฉัยส่วนใหญ่ทำโดยการตรวจอุจจาระหรือชิ้นเนื้อ ยาที่ใช้รักษาแตกต่างกันไปตามชนิดของเชื้อ เช่น Tetracycline, Metronidazole, TMP-SMX หรือ Nitazoxanide การป้องกันที่ได้ผลที่สุดคือการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล รับประทานอาหารที่สุก สะอาด ดื่มน้ำสะอาด ล้างมือบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ