โรคลิชมาเนีย (Leishmaniasis)
โรคลิชมาเนียเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากโปรโตซัวในจีนัส Leishmania มีพาหะสำคัญคือริ้นฝอยทราย (sand fly)
ซึ่งดูดเลือดจากผู้ติดเชื้อแล้วแพร่ต่อไปยังคนอื่น ลักษณะคล้ายกับการแพร่เชื้อของยุงที่เป็นพาหะโรคมาลาเรียและไข้เลือดออก โรคลิชมาเนียแบ่งได้เป็น 3 ชนิดหลัก ได้แก่ โรคที่ผิวหนัง (cutaneous leishmaniasis), โรคที่ผิวหนังต่อกับเยื่อเมือก (mucocutaneous leishmaniasis) และโรคที่อวัยวะภายใน (visceral leishmaniasis หรือ Kala azar)
โรคนี้พบมากในประเทศจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ ส่วนในประเทศไทยพบได้น้อย และมักเกิดในผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ การเปิดประเทศและการเดินทางที่สะดวกขึ้น ทำให้โรคของแต่ละท้องถิ่นติดต่อถึงกันได้ง่ายขึ้น
โรคที่ผิวหนัง (Cutaneous leishmaniasis)
เกิดแผลเฉพาะที่ผิวหนัง บริเวณที่ถูกริ้นฝอยทรายกัด หลังจากได้รับเชื้อประมาณ 7-90 วัน เริ่มแรกเป็นตุ่มแดง จากนั้นโตขึ้น แตกออกเป็นแผลที่มีขอบนูน ก้นแผลตื้น ไม่เจ็บ ไม่คัน บางครั้งเกิดแผลใหม่รอบ ๆ แผลเดิม ลักษณะเรื้อรังและแห้ง ยกเว้นมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน แผลที่ใบหน้ามักอยู่นานหลายปี แต่ที่แขนขาจะหายเองภายใน 3-6 เดือน
ลักษณะของแผลต้องแยกจากโรคติดเชื้ออื่น ๆ เช่น มัยโคแบคทีเรียม, เชื้อรา (blastomucosis, histoplasmosis, sporotrichosis), โรคคุดทะราด, ซิฟิลิส, และlupus erythematosus
เมื่อขูดเนื้อที่ฐานของแผลมาย้อมสีด้วยวิธี Giemsa และ Wright ดูจะพบเชื้อลิชมาเนียมากมาย การรักษาอาจใช้ยาต้านปรสิต เช่น Rifampicin ร่วมกับยามาตรฐานอื่น ๆ
โรคที่ผิวหนังต่อกับเยื่อเมือก (Mucocutaneous leishmaniasis)
หลังจากถูกกัด เชื้อจะกระจายไปตามกระแสโลหิต ทำให้เกิดแผลในบริเวณที่เป็นเยื่อบุจมูก ปาก คอหอย และกล่องเสียง แผลจะเริ่มจากตุ่มแดง แล้วค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น มีการทำลายของเนื้อเยื่อและกระดูกอ่อนโดยรอบ ทำให้จมูกโหว่ ปากแหว่ง ขากรรไกรบนและเพดานแข็งหายไป ทำให้กลืนลำบากและพูดไม่ชัด แผลของโรคนี้ไม่หายเอง ต้องรีบรักษาก่อนที่จะมีการทำลายของกระดูกอ่อนบนใบหน้ามากขึ้น
ลักษณะแผลที่แนวต่อระหว่างผิวหนังกับเยื่อเมือกนี้ คล้ายกับโรค paracoccidomycosis, โรคเรื้อน (lepromatous leprosy), midline granuloma และมะเร็งผิวหนัง การวินิจฉัยแน่ชัดต้องตัดชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิวิทยา
โรคที่อวัยวะภายใน (Visceral leishmaniasis)
เมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิต จะเข้าไปอยู่ใน macrophage ของตับ ไขกระดูก และต่อมน้ำเหลือง ผู้ป่วยมักมีแผลในตำแหน่งที่ถูกแมลงกัดก่อน แล้วแผลค่อย ๆ หายไป จากนั้นอีกเป็นเดือนถึงหลายปี จะรู้สึกว่ามีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อย ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน ม้ามโตจนคลำได้ถึงเชิงกราน และตับโต แต่ไม่ค่อยมีอาการตาเหลือง
ภาวะแทรกซ้อนที่พบจากการตรวจเลือด ได้แก่ ซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ เกร็ดเลือดต่ำ อัลบูมินต่ำ และ gammaglobulin (IgG) สูง
อาการที่พบตับม้ามโตในโรคนี้ต้องวินิจฉัยแยกโรคจากมาลาเรียเรื้อรัง, schistosomiasis, salmonellosis, lymphoma, chronic lymphocytic leukemia, และ glycogen storage
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยที่แน่ชัดต้องอาศัยการตรวจพบเชื้อลิชมาเนียจากแผลหรือจากตัวอย่างเนื้อเยื่อ เช่น ไขกระดูก ตับ หรือม้าม โดยการย้อมสี (Giemsa, Wright) หรือการเพาะเลี้ยงเชื้อ การตรวจทางซีโรโลยี (เช่น IFA, ELISA) ใช้เป็นวิธีสนับสนุนแต่มีข้อจำกัด เนื่องจากอาจเกิดผลบวกลวงในผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อ Trypanosoma cruzi
การรักษา
การรักษาโรคขึ้นอยู่กับชนิดของลิชมาเนีย:
- Cutaneous leishmaniasis: อาจหายเอง แต่ในรายที่รุนแรงหรือต้องการลดการเกิดแผลเป็น สามารถใช้ยาต้านปรสิต เช่น Rifampicin, Amphotericin B หรือ Pentavalent antimonial ภายใต้การดูแลของแพทย์
- Mucocutaneous leishmaniasis: ต้องรักษาด้วยยาฉีด เช่น Pentavalent antimonial (Sodium stibogluconate - Pentostam, หรือ Meglumine antimoniate - Glucantime) การรักษาต้องต่อเนื่องและติดตามอย่างใกล้ชิด
- Visceral leishmaniasis: ยาหลักคือ Pentostam และ Glucantime (ยาฉีด) โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ บางกรณีอาจใช้ Amphotericin B liposomal เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ทนยาหลักไม่ได้
การรักษาทุกรูปแบบควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากยาที่ใช้มีผลข้างเคียงสูง
สรุป
โรคลิชมาเนียเป็นโรคติดเชื้อจากโปรโตซัวที่มีพาหะคือริ้นฝอยทราย สามารถก่อโรคได้ทั้งที่ผิวหนัง เยื่อเมือก และอวัยวะภายใน อาการและความรุนแรงแตกต่างกันไป โดยโรคที่อวัยวะภายในมีความรุนแรงสูงและอาจเสียชีวิตได้ การวินิจฉัยต้องอาศัยการตรวจพบเชื้อโดยตรง ส่วนการรักษาต้องใช้ยาต้านปรสิตเฉพาะภายใต้การดูแลแพทย์ การป้องกันที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงการถูกริ้นฝอยทรายกัด และควบคุมสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ระบาด