โรคฝีในปอด (Lung abscess)
ฝีในปอดส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้ออย่างรุนแรง มีการทำลายเนื้อปอดจนเกิดเป็นโพรงขึ้น ภายในโพรงประกอบด้วยเศษเนื้อตาย เลือด หนอง และจุลชีพที่เป็นสาเหตุ แต่บางครั้งฝีในปอดอาจเกิดจากก้อนมะเร็งในปอดที่กัดกินเนื้อปอดจนเป็นโพรงแผล ซึ่งอาจมีการติดเชื้อซ้ำหรือไม่ก็ได้ ในส่วนนี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะฝีในปอดที่เกิดจากการติดเชื้อเท่านั้น
พยาธิกำเนิด
แม้จะเกิดจากการติดเชื้อ แต่โรคฝีในปอดก็มิได้เกิดขึ้นและติดต่อกันง่ายเหมือนโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจทั่วไป กลไกการเกิดฝีในปอดที่พบบ่อยมี 5 ลักษณะ ตามลำดับ ได้แก่
- โดยการสำลัก (Aspiration): ผู้ป่วยมักมีประวัติหมดสติมาก่อน เช่น เมาสุรา กินยานอนหลับเกินขนาด เป็นลมชัก หรือเป็นโรคที่ทำให้มีอาการกลืนลำบาก เช่น โรคหลอดเลือดสมองแตก/อุดตัน โรคของหลอดอาหาร หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง เศษอาหารที่สำลักลงปอดจะนำเชื้อแบคทีเรียชนิดไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic bacteria) เข้าไป ทำให้เกิดหนองที่มีกลิ่นเหม็นมาก
- เกิดหลังเป็นโรคปอดบวมรุนแรง: แบคทีเรียบางชนิด เช่น Staphylococcus, Klebsiella, Pseudomonas, E. coli, Proteus และ Acinetobacter สามารถสร้างสารพิษที่ทำลายเนื้อปอดและก่อให้เกิดฝีได้
- การติดเชื้อซ้ำในปอดที่มีพยาธิสภาพอยู่ก่อน: เช่น มีมะเร็ง ถุงลมโป่งพอง หรือถุงน้ำที่อุดกั้นหลอดลม ทำให้ระบายเสมหะไม่ดีพอ
- การแพร่จากฝีบริเวณใกล้เคียง: เช่น ฝีตับหรือฝีในช่องท้องที่แตกทะลุผ่านกระบังลมเข้าสู่เนื้อปอด
- จากการอุดตันในกระแสเลือด (Septic emboli): เชื้อโรคที่มากับลิ่มเลือดถูกพัดเข้าสู่ปอดจนเกิดฝี
เมื่อเนื้อปอดถูกทำลายจนเป็นโพรง หนองจะถูกระบายออกทางหลอดลมที่เชื่อมกับโพรงฝี หากหลอดลมถูกอุดกั้น (เช่นจากมะเร็ง) หรือผู้ป่วยไม่สามารถไอได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขนาดฝีอาจโตขึ้นจนแตกทะลุเข้าช่องเยื่อหุ้มปอดได้
อาการของโรค
ก่อนเกิดฝี ผู้ป่วยมักมีอาการปอดบวม 1–3 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะมีอาการไอมีเสมหะหนองจำนวนมาก มีกลิ่นเหม็นและมักมีเลือดปน มีไข้สูงเกือบตลอดเวลา อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และเจ็บหน้าอก
ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่ หลอดลมพอง ฝีแตกเข้าช่องเยื่อหุ้มปอด และเชื้อกระจายเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดฝีที่อวัยวะอื่น
การวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัยว่าเป็นฝีที่ปอดนั้นไม่ยาก เพียงภาพรังสีเห็นโพรงที่มีทั้งน้ำและลมอยู่ด้วยกันภายในปอดก็วินิจฉัยได้แล้ว แต่ที่ยากคือการวินิจฉัยเชื้อที่เป็นสาเหตุ นอกจากแบคทีเรียแล้ว เชื้อวัณโรคและเชื้อราก็สามารถทำให้เกิดฝีในปอดได้คล้ายกัน ดังนั้น การย้อมหาเชื้อและการเพาะเชื้อจากเสมหะต้องทำให้ครบทั้ง 3 ชนิด เพื่อให้การวินิจฉัยไม่ผิดพลาด
การรักษา
การรักษาประกอบด้วยการให้ยาปฏิชีวนะควบคู่กับการระบายหนองออกจากปอด โดยทั่วไปใช้วิธีการเคาะปอด ให้ยาขับเสมหะ และยาขยายหลอดลม เพื่อช่วยระบายหนอง หากฝีแตกทะลุเข้าสู่ช่องเยื่อหุ้มปอด ต้องทำการดูดหนองออกหรือใส่สายระบายเข้าสู่ขวดน้ำยา บางรายอาจต้องผ่าตัดหากการรักษาด้วยวิธีข้างต้นไม่ได้ผล
การป้องกัน
การป้องกันฝีในปอดสามารถทำได้โดย:
- ป้องกันการสำลัก โดยดูแลผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีโรคหลอดเลือดสมองหรือหมดสติ
- รักษาโรคปอดบวมและการติดเชื้อทางเดินหายใจอย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะแรก
- หลีกเลี่ยงการใช้ยากดประสาทหรือยานอนหลับเกินขนาดที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการสำลัก
- รักษาความสะอาดช่องปากและสุขอนามัยทั่วไป ลดโอกาสการสะสมของเชื้อโรค
- ติดตามดูแลผู้ป่วยที่มีโรคปอดเรื้อรังหรือมะเร็งปอดอย่างต่อเนื่อง
สรุป
โรคฝีในปอดเป็นภาวะติดเชื้อที่รุนแรง เกิดจากการทำลายเนื้อปอดจนเกิดโพรงหนอง มีอาการเด่นคือไอเสมหะหนองมีกลิ่นเหม็น ไข้สูง อ่อนเพลีย และเจ็บหน้าอก
การวินิจฉัยทำได้จากภาพรังสีปอด แต่ต้องตรวจหาเชื้อเพิ่มเติมเพื่อระบุสาเหตุ การรักษาหลักคือการให้ยาปฏิชีวนะร่วมกับการระบายหนอง หากรักษาไม่ทันท่วงทีอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ฝีแตกเข้าช่องเยื่อหุ้มปอดหรือเชื้อกระจายไปอวัยวะอื่น ดังนั้น การรักษาโรคปอดบวมอย่างถูกต้อง การป้องกันการสำลัก และการดูแลผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงจึงเป็นวิธีสำคัญในการลดอัตราการเกิดโรคฝีในปอด