โรคไลม์ (Lyme disease)
ไลม์เป็นโรคที่พบในแถบที่มีอากาศหนาวเย็น เช่น ยุโรปตอนเหนือ สแกนดิเนเวีย สหรัฐอเมริกา (โดยเฉพาะรัฐ Connecticut) ประเทศจีน และญี่ปุ่น แต่คนไทยที่ไปศึกษาหรือไปเที่ยวแถบนั้นก็อาจติดโรคมาได้ เชื้อที่เป็นสาเหตุคือ Borrelia burgdorferi ซึ่งเป็นสไปโรขีตขนาดเล็ก รูปเกลียว มีหาง ติดสีแกรมลบ ปกติจะอาศัยอยู่ในเห็บตระกูล Ixodes ซึ่งเป็นเห็บของพวกกวาง ม้า วัว สุนัข แมว และพวกสัตว์ฟันแทะ คนติดโรคโดยการถูกเห็บชนิดนี้ที่มีเชื้อ B. burgdorferi อยู่ในลำไส้กัด แต่โอกาสติดโรคจริง ๆ ก็มีเพียงร้อยละ 1 เพราะเห็บต้องสัมผัสกับร่างกายเวลาอย่างน้อย 24 ชม. จึงจะสามารถถ่ายทอดเชื้อมาสู่คนได้
อาการของโรค
อาการของโรคไลม์แบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ
- ระยะเริ่มต้น
หลังถูกเห็บที่มีเชื้อกัด 3-30 วัน จะเริ่มมีรอยโรคขึ้นตรงตำแหน่งที่ถูกกัด ถ้าเป็นลักษณะจำเพาะจะเป็นผื่นแดงเหมือนเป้ายิงธนูที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เจ็บ ไม่คัน แต่ส่วนใหญ่จะเห็นเป็นปื้นแดงธรรมดาตรงรอยเห็บกัด
- ระยะแพร่กระจาย หลังจากนั้นไม่กี่วันเชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือด ผู้ป่วยจะมีไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดเนื้อตัวและปวดตามข้อ มีต่อมน้ำเหลืองโต ร้อยละ 80 จะพบผื่นแดงแบบระยะแรกแต่ย้ายไปเกิดตามที่ต่าง ๆ จึงเรียกว่า erythema migrans หรือผื่นแดงพเนจร อาการเหล่านี้จะเป็นอยู่ 1-3 สัปดาห์ก็จะหายไปเอง
ร้อยละ 15 ของผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาจะมีอาการทางระบบประสาท โดยจะมีคอแข็ง สับสน เส้นประสาทสมองเส้นที่ 7 เป็นอัมพาต (มุมปากตก หนังตาปิดไม่สนิท) เดินเซ แขนขาอ่อนแรง และอีกร้อยละ 5 จะมีอาการทางหัวใจ คือจะมีหัวใจหยุดเต้นเป็นบางจังหวะ เหนื่อย เจ็บหน้าอก ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทและหัวใจนี้ถ้าไม่รุนแรงจะหายเองได้ในเวลาไม่กี่เดือน
- ระยะเรื้อรัง หลายเดือนต่อมา ร้อยละ 60-80 ของผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาจะมีอาการปวดข้อ ข้อบวม เรื้อรัง มักเป็นที่ข้อใหญ่ ๆ 2-3 ข้อในเวลาเดียวกันโดยเฉพาะที่ข้อเข่า และข้อที่บวมจะย้ายสลับกันไปมา (migratory arthritis) โดยจะเป็นอยู่นานตั้งแต่ 2 สัปดาห์ จนถึง 1 ปี แต่ก็จะหายไปได้เองเช่นกันแม้จะไม่ได้รับการรักษา รายที่อาการรุนแรงมากจะทำให้เกิดข้อพิการผิดรูปอย่างถาวร
ประมาณร้อยละ 5 ของผู้ป่วยอาจพัฒนาไปสู่ภาวะระบบประสาทเรื้อรัง เช่น ความจำเสื่อม สับสน อาการชา ปลายมือปลายเท้า หรือปวดหลังเรื้อรัง
การวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัยโรคไลม์ทำได้โดยตรวจหา IgM และ IgG แอนติบอดีในเลือดด้วยวิธี Immunofluorescent หรือ ELISA IgM จะเริ่มปรากฏใน 3–4 สัปดาห์ ขึ้นสูงสุดใน 6–8 สัปดาห์แล้วค่อย ๆ ลดลง ส่วน IgG จะเริ่มใน 4–6 สัปดาห์และสามารถตรวจพบได้อีกหลายปี ในระยะแรกควรตรวจซ้ำ 2 ครั้งห่างกัน 1–2 สัปดาห์เพื่อเปรียบเทียบ
การเพาะเชื้อ B. burgdorferi ทำได้ด้วยอาหารเลี้ยงเชื้อ Barbour-Stoenner Kelly โดยได้ผลดีที่สุดจากชิ้นเนื้อรอยโรคผิวหนังในระยะแรกของโรค แต่การเจริญเติบโตของเชื้อต้องใช้เวลาถึง 6 สัปดาห์ ส่วนน้อยสามารถเพาะได้จากเลือดหรือน้ำไขสันหลังในผู้ป่วยที่มีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
ในระยะเรื้อรังอาจใช้วิธี PCR ตรวจสารพันธุกรรมของเชื้อจากน้ำไขข้อ
หากได้ชิ้นเยื่อหุ้มข้อมาตรวจด้วยการย้อมพิเศษแบบ silver stain อาจพบเชื้ออยู่ใกล้หลอดเลือด อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยโรคไลม์โดยตรงทำได้ค่อนข้างยาก ต้องอาศัยการตรวจเฉพาะที่ใช้เวลานาน มีค่าใช้จ่ายสูง และผลอาจคลาดเคลื่อนหากผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะมาก่อน ดังนั้น แพทย์มักให้ความสำคัญกับประวัติและอาการทางคลินิกเป็นหลัก
การรักษา
ในระยะเริ่มต้นและระยะแพร่กระจาย แนะนำให้ใช้ยา doxycycline 100 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 14–21 วัน ในเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี และหญิงตั้งครรภ์ ควรใช้ amoxicillin 500 มก. วันละ 3 ครั้ง แทน หากมีอาการทางระบบประสาทหรือหัวใจ แนะนำให้ใช้ ceftriaxone 40–50 มก./กก./วัน (สูงสุด 2 กรัม/วัน) ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ 2–4 สัปดาห์ แม้ได้รับการรักษาแล้ว อาการมักจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายในหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน จึงต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด โดยเฉพาะภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
ในระยะเรื้อรังควรให้กินยาให้นานขึ้นเป็น 1-2 เดือน
การป้องกัน
วัคซีนป้องกันโรคไลม์เคยมีการพัฒนาและใช้งาน แต่ภายหลังถูกยกเลิกเนื่องจากผลข้างเคียงที่รุนแรง ปัจจุบันหลายบริษัทยายังอยู่ระหว่างการปรับปรุงพัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่
แนวทางป้องกันที่ดีที่สุดในปัจจุบันคือหลีกเลี่ยงการถูกเห็บกัด หากถูกกัดควรถอดเห็บออกโดยเร็วที่สุดและทำความสะอาดแผล โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้ยา แต่หากพบว่าเห็บมีขนาดใหญ่จากการดูดเลือดนานแล้ว ควรรับประทาน doxycycline 200 มก. ครั้งเดียว ภายใน 72 ชั่วโมงหลังถูกกัด
นอกจากนี้ควรหมั่นกำจัดเห็บที่อยู่บนสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในคน
สรุป
โรคไลม์เป็นโรคติดเชื้อจากเห็บที่พบบ่อยในประเทศเขตหนาว เกิดจากเชื้อ Borrelia burgdorferi อาการแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเริ่มต้น (ผื่น erythema migrans) ระยะแพร่กระจาย (มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดข้อ อาการทางประสาทและหัวใจ) และระยะเรื้อรัง (ข้ออักเสบเรื้อรังและภาวะทางระบบประสาท) การวินิจฉัยต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมกับอาการทางคลินิก การรักษาใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น doxycycline, amoxicillin หรือ ceftriaxone ตามความรุนแรงของโรค การป้องกันที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงการถูกเห็บกัด และรีบเอาเห็บออกโดยเร็วเมื่อพบ หากได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม โรคไลม์ส่วนใหญ่มีพยากรณ์โรคที่ดี แต่หากปล่อยไว้อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังได้