ไข้มาลาเรีย (Malaria)

โรคมาลาเรีย หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ไข้ป่า” หรือ “ไข้จับสั่น” เป็นโรคติดเชื้อที่พบบ่อยบริเวณชายแดนของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าเขา ส่วนในเขตเมืองพบได้น้อย อย่างไรก็ตาม การเปิดประเทศและการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมระหว่างประเทศในอนาคต อาจทำให้โรคนี้แพร่ระบาดเข้ามาในตัวเมืองได้ง่ายขึ้น

เชื้อมาลาเรียจัดอยู่ในจีนัส Plasmodium ที่พบในไทยมี 5 ชนิดตามลำดับความชุก คือ ฟาลซิปารั่ม (falciparum), ไวแวกซ์ (vivax), มาลาริอี้ (malariae), โนวเลซี (knowlesi), และโอวาเล่ (ovale) (พบน้อยมาก) โดยมี ยุงก้นปล่อง (Anopheles) เป็นพาหะนำโรค

วงจรชีวิตของเชื้อมาลาเรีย

เชื้อมาลาเรียทุกชนิดมีวงจรชีวิตเหมือนกันคือ

  1. วงจรชีวิตในคน (Schizogony)

    เมื่อยุงที่มีเชื้อกัดคน เชื้อระยะ Sporozoites จะเข้าสู่กระแสโลหิต และเคลื่อนไปยังตับภายในครึ่งชั่วโมง จากนั้นจะเจริญในเซลล์ตับเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ก่อนแบ่งตัวเป็น Merozoites นับหมื่นตัว แล้วเข้าสู่กระแสโลหิตเพื่อทำลายเม็ดเลือดแดง

    สำหรับเชื้อไวแวกซ์และโอวาเล่ บางส่วนจะหลบซ่อนอยู่ในตับในรูป Hipnozoites ซึ่งสามารถกลับออกมาใหม่ภายหลัง ทำให้เกิดภาวะ “ไข้กลับ” ได้ หากผู้ป่วยไม่ได้รับยาที่กำจัดระยะนี้โดยเฉพาะ

    เมื่อเชื้อเข้าสู่เม็ดเลือดแดง จะพัฒนาเป็นโทรโฟซ้อยท์ (Trophozoite) และสามารถดำเนินต่อได้ 2 ทางคือ

    • วงจรไร้เพศ (Asexual cycle): รูปร่างของโทรโฟซ้อยท์จะเปลี่ยนไปเป็น ring form, amoeboid form และ schizont จากนั้นแบ่งตัวเป็น Merozoites อีก 8-24 ตัวในเม็ดเลือดแดง แล้วทำให้เม็ดเลือดแดงแตก ตัว Merozoites ที่ออกมาจะเข้าสู่เม็ดเลือดแดงอื่นต่อไป ระยะแตกของเม็ดเลือดแดงนี้จะตรงกับระยะจับไข้ ซึ่งแตกต่างกันแล้วแต่ชนิดของมาลาเรีย ถ้าเป็นฟาลซิปารั่มจะมีไข้ทุก 36-48 ชั่วโมง, ถ้าเป็นไวแวกซ์ ทุก 48 ชั่วโมง, มาลาริอี้ ทุก 72 ชั่วโมง, และโอวาเล่ ทุก 36 ชั่วโมง
    • วงจรมีเพศ (Sexual cycle): โทรโฟซ้อยท์บางส่วนพัฒนาเป็นแกมีโตไซต์ (Gametocytes) ซึ่งจะต้องไปผสมพันธุ์กันในตัวยุงเพื่อดำเนินวงจรต่อไป

  2. วงจรชีวิตในยุง (Sporogony)

    เมื่อตัวยุงดูดเลือดจากผู้ที่มีเชื้อมาลาเรียระยะแกมีโตไซต์ เชื้อจะผสมพันธุ์ในกระเพาะยุงและพัฒนาเป็น oocyst ซึ่งภายในมี Sporozoites จำนวนมาก

    เมื่อ oocyst เจริญเต็มที่จะแตก Sporozoites ที่ออกมาจะเคลื่อนไปที่ต่อมน้ำลายของยุง พร้อมแพร่เชื้อต่อเมื่อยุงกัดคน วงจรนี้ใช้เวลาประมาณ 7–20 วัน ขึ้นกับอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม



อาการของโรค

ผู้ป่วยมักเริ่มมีอาการหลังถูกยุงกัด 8–14 วัน แต่บางรายอาจนานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันและการได้รับยาป้องกันมาลาเรียมาก่อน

ในระยะ 2-3 วันแรก ไข้ยังไม่จับเป็นเวลา เนื่องจากเชื้อที่เข้าไปในร่างกายยังเจริญไม่ร่วมเวลากัน ประมาณปลายสัปดาห์ที่หนึ่งจะเริ่มจับไข้เป็นเวลาตามระยะที่เชื้อแตกออกมาจากเม็ดเลือดแดง โดยวงจรของไข้ประกอบด้วย 4 ระยะคือ

  • ระยะหนาว: กินเวลา 15-60 นาที จะมีอาการหนาวสั่น เกร็ง ตัวร้อน แต่แขนขาเย็นซีด ชีพจรเร็วเบา ความดันสูงขึ้น อาจมีอาเจียนและปัสสาวะบ่อย
  • ระยะร้อน: กินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ระยะนี้ตัวจะร้อนจัด ชีพจรแรง ลมหายใจร้อน หน้าและผิวหนังแดง กระหายน้ำ กระสับกระส่าย บางคนไม่ค่อยรู้สติ และปวดศีรษะลึกเข้าไปในกระบอกตา
  • ระยะเหงื่อออก: กินเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เหงื่อเริ่มออกที่ขมับและหน้าผากก่อน แล้วจึงออกทั่วตัว ไข้ค่อย ๆ ลด ชีพจรและความดันกลับสู่ปกติ ผู้ป่วยจะรู้สึกเพลีย เหนื่อย และหลับไป
  • ระยะพัก: คือระยะที่ไม่จับไข้ ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายดี ระยะเวลาขึ้นกับชนิดเชื้อ (36–72 ชม.)

อาการเพิ่มเติม ได้แก่ ซีด ตาเหลือง ม้ามโต (สัปดาห์ที่ 2) และในรายที่ไม่รุนแรง (ไวแวกซ์, มาลาริอี้, โอวาเล่) อาการจะค่อย ๆ ลดลงและหายไปเองภายใน 2–6 เดือน หากไม่ได้รับการรักษา

ส่วนเชื้อฟาลซิปารั่มเป็นเชื้อที่รุนแรง ในระยะพักผู้ป่วยจะยังไมฟื้นเป็นปกติ อาการซีดและเหลืองเกิดขึ้นภายในเวลา 3-4 วัน ตับโต กดเจ็บ และอาจอักเสบรุนแรง ภาวะแทรกซ้อนอื่นที่อาจทำให้เสียชีวิตได้แก่ ไข้ปัสสาวะดำ, ไตวาย, ปอดคั่งน้ำ (ARDS), มาลาเรียขึ้นสมอง, ช็อค, และการสูญเสียขบวนการแข็งตัวของเลือดในหลอดเลือดทั่วร่างกาย (DIC)

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยโรคมาลาเรียสามารถทำได้โดยอาศัยทั้งข้อมูลทางคลินิกและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เนื่องจากอาการของมาลาเรีย เช่น ไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ และอ่อนเพลีย อาจคล้ายกับโรคติดเชื้ออื่น การยืนยันจึงต้องอาศัยการตรวจหาเชื้อโดยตรง

  1. การวินิจฉัยทางคลินิก
    • ประวัติการเดินทางหรืออยู่อาศัยในพื้นที่ที่มีการระบาดของมาลาเรีย
    • อาการสำคัญ ได้แก่ ไข้สูง หนาวสั่นเป็นระยะ เหงื่อออกมาก ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ
    • อาจพบตับหรือม้ามโตในบางราย
  2. การวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ
    • การตรวจเลือดด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Blood smear) เป็นวิธีมาตรฐาน ใช้การทำฟิล์มเลือดบาง (thin smear) และฟิล์มเลือดหนา (thick smear) เพื่อตรวจหาเชื้อ Plasmodium และระบุชนิดของเชื้อ
    • Rapid Diagnostic Test (RDT) เป็นการตรวจหาแอนติเจนของเชื้อ ใช้ได้สะดวกและรวดเร็ว แต่ความไวและความจำเพาะอาจน้อยกว่าการตรวจเลือดด้วยกล้อง
    • Polymerase Chain Reaction (PCR) ใช้ตรวจยืนยันชนิดของเชื้ออย่างแม่นยำ เหมาะในงานวิจัยหรือกรณีที่ยากต่อการวินิจฉัย
    • การตรวจเลือดทั่วไป อาจพบภาวะซีด เกล็ดเลือดต่ำ และค่าเอนไซม์ตับสูงขึ้นในบางราย

การวินิจฉัยแยกโรค

ควรแยกโรคจากการติดเชื้ออื่นที่ทำให้มีไข้ เช่น ไข้เลือดออก ไข้ไทฟอยด์ เลปโตสไปโรซิส และโรคไวรัสอื่น ๆ โดยการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อมาลาเรียเป็นสิ่งสำคัญในการยืนยันการวินิจฉัย



การรักษา

ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจเลือดหาเชื้อมาลาเรีย เพื่อให้ทราบชนิดของเชื้อและระยะการเจริญเติบโตที่แน่ชัดก่อนเริ่มยารักษา เพราะเชื้อมาลาเรียแต่ละชนิดเและแต่ละระยะใช้ยาไม่เหมือนกัน หากอาการหนัก ควรพักรักษาในโรงพยาบาล

แนวทางการใช้ยารักษามาลาเรียชนิดต่าง ๆ ดูได้ ที่นี่

การป้องกัน

เนื่องจากโรคมาลาเรียนี้ต้องอาศัยยุงเป็นพาหะ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่ให้ยุงกัด ซึ่งอาจทำได้หลายวิธี เช่น

  • กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงภายในบ้านและสวน
  • หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านในช่วงที่ยุงออกหากินเวลา 17.30-24.00 น. หากจำเป็นควรใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว
  • พ่นยาฆ่ายุง
  • ทายาไล่ยุง
  • นอนกางมุ้งหรือในห้องที่มีมุ้งลวด
  • รับประทานยาป้องกันเชื้อมาลาเรียหากต้องเดินทางไปตามแหล่งที่มีเชื้ออยู่หนาแน่น

ยาป้องกันมาลาเรีย

สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง ควรรับยาป้องกันล่วงหน้าตามคำแนะนำของแพทย์ โดยมียาที่นิยมใช้ ได้แก่:

  • Atovaquone-Proguanil: รับประทานวันละครั้ง เริ่มก่อนเดินทาง 1–2 วัน ต่อเนื่องระหว่างอยู่ในพื้นที่เสี่ยง และต่ออีก 7 วันหลังออกจากพื้นที่
  • Doxycycline: รับประทานวันละครั้ง เริ่มก่อนเดินทาง 1–2 วัน ต่อเนื่องระหว่างอยู่ในพื้นที่เสี่ยง และต่ออีก 4 สัปดาห์หลังออกจากพื้นที่ (ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์และเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี)
  • Mefloquine: รับประทานสัปดาห์ละครั้ง เริ่มอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเดินทาง ต่อเนื่องระหว่างอยู่ในพื้นที่เสี่ยง และต่ออีก 4 สัปดาห์หลังออกจากพื้นที่
  • Chloroquine: ใช้ได้ในพื้นที่ที่ยังไม่มีเชื้อดื้อยา (ปัจจุบันใช้ได้น้อย เนื่องจากเชื้อฟาลซิปารั่มดื้อต่อยาแล้วในหลายพื้นที่)

หมายเหตุ: ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ยาป้องกันทุกครั้ง เพื่อเลือกยาที่เหมาะสมกับพื้นที่เสี่ยง สุขภาพ และประวัติการแพ้ยาของผู้ป่วย

สรุป

ไข้มาลาเรียเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อ Plasmodium มีการแพร่โดยยุงก้นปล่อง โรคมีความสำคัญทางสาธารณสุข โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนและเขตป่า อาการมีลักษณะเด่นคือไข้จับสั่นเป็นระยะ หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง โดยเฉพาะเชื้อฟาลซิปารั่ม การวินิจฉัยที่รวดเร็วและการให้ยาที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ การป้องกันทำได้โดยการหลีกเลี่ยงยุงกัด การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และการใช้ยาป้องกันเมื่อจำเป็น การปฏิบัติเหล่านี้ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อและการแพร่ระบาดได้อย่างมาก