โรคหัด (Measles, Robeola)
โรคหัดเป็นโรคติดเชื้อที่พบได้ทั่วโลก โดยเฉพาะในเด็ก แม้ปัจจุบันหลายประเทศจะมีการฉีดวัคซีน MMR ให้เด็กทั่วไป แต่อุบัติการณ์ในผู้ใหญ่กลับพบสูงขึ้น เนื่องจากภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่ได้รับตั้งแต่วัยเด็กค่อย ๆ ลดลง อย่างไรก็ตาม อาการในผู้ใหญ่มักไม่รุนแรงเท่าเด็ก เด็กที่ยังไม่ได้รับวัคซีนมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากมารดาหมดไป
โรคหัดแพร่กระจายผ่านการไอ จาม หรือการสูดหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อเข้าสู่ร่างกาย รวมถึงการสัมผัสน้ำมูก เสมหะ หรือปัสสาวะของผู้ป่วย เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุตาและกระจายเข้ากระแสเลือด ผู้ป่วยแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 4 วันก่อนผื่นขึ้นจนถึง 2–5 วันหลังออกผื่น โดยจะมีการแพร่เชื้อมากที่สุดในช่วงที่มีไข้สูงก่อนผื่นออก
อาการของโรค
ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 8–12 วัน อาการแบ่งออกเป็น 2 ระยะ
- ระยะเริ่มต้น:
ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำ ๆ ถึงปานกลาง อ่อนเพลีย ไอ น้ำมูกไหล ตาแดง ตาแฉะ กลัวแสง หนังตาบวม ถ้าอ้าปากดูจะเห็นทอนซิลโตและแดง ที่กระพุ้งแก้มบริเวณที่ตรงกับฟันกรามล่าง จะพบจุดสีเทาอมขาวขนาดเท่าหัวเข็มหมุดหลายจุด ล้อมรอบด้วยบริเวณที่แดง เรียกว่า Koplik's spots มักเกิด 2-3 วันก่อนผื่นที่ผิวหนังจะขึ้น และพบเฉพาะในโรคหัดเท่านั้น ระยะนี้กินเวลาประมาณ 4-5 วัน
- ระยะออกผื่น:
ผื่นเริ่มขึ้นในวันที่ 4 หลังจากเริ่มมีไข้ โดยเริ่มจากใบหน้าและหลังหู ก่อนลามไปทั่วลำตัว แขน และขา ผื่นจะมากที่สุดบริเวณหน้า ลักษณะเป็นจุดแดงเล็ก ๆ รวมกันเป็นปื้นใหญ่ ไข้มักสูงสุดช่วงผื่นออก และจะลดลงเมื่อผื่นลามถึงเท้า (ประมาณ 2–3 วัน) เริ่มแรกผื่นจะมีขนาดเล็กราว 2-3 มิลลิเมตร แล้วจะรวมกันเป็นปื้นใหญ่ ในรายที่มีผื่นมากอาการจะหนักกว่าในรายที่มีผื่นน้อย และมักมีจุดเลือดออกด้วย อาจมีไอและหอบมากเนื่องจากเกิด viral pneumonia ระยะนี้ต่อมน้ำเหลืองจะโต คลำได้ที่คอ ถ้าต่อมน้ำเหลืองในท้องโตจะทำให้ปวดท้อง ในเด็กเล็กมักมีอาการของระบบทางเดินอาหารด้วย เช่น อาเจียน ท้องเดิน
ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน ไข้จะลดลงภายใน 3 วันหลังจากผื่นขึ้น ผื่นจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีคล้ำขึ้น ตัวลาย บางแห่งมีการหลุดลอกของผิวหนังด้วย อาการไออาจคงอยู่อีกประมาณ 1 สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อน
โรคหัดสามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายอย่าง เช่น
- หลอดลมอักเสบและปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสหัด พบได้เกือบทุกรายช่วงที่ผื่นกำลังจะออก ผู้ป่วยจะไอมาก หอบ หายใจเร็ว ฟังได้เสียง crepitation ในปอด แต่จะดีขึ้นเองหลังผื่นออกเต็มที่และไข้ลง ยกเว้นจะไอต่อไปอีกหลายวัน
- ปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น Pneumococcus, Streptococcus, H. influenzae หากไข้ไม่ลดหลังผื่นออก 3 วัน และอาการหอบเป็นมากขึ้น ต้องรีบเก็บเสมหะตรวจหาเชื้อและเริ่มยาปฏิชีวนะ
- หูชั้นกลางอักเสบ และเยื่อบุตาอักเสบ พบได้บ่อยแต่ไม่รุนแรง ยกเว้นมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ
- ไส้ติ่งอักเสบจากเชื้อไวรัสหัด ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย และอาจรุนแรงถึงขั้นต้องผ่าตัด
- สมองอักเสบ พบได้ 1–2 รายต่อผู้ป่วย 1,000 ราย อาการจะเริ่มหลังผื่นออกแล้ว 2-6 วัน แทนที่ไข้จะลดกลับมีไข้สูงขึ้น ผู้ป่วยจะปวดศรีษะ ซึม อาเจียน แล้วชัก ตรวจน้ำไขสันหลังจะเป็นลักษณะของ aseptic meningitis อัตราตายประมาณ 10% รายที่รอดอาจมีความพิการหลงเหลือ
- ภาวะสมองอักเสบกึ่งเฉียบพลัน (SSPE) เกิดหลังเป็นโรคหัดหลายปี แม้พบน้อยมาก (1 ในล้าน) แต่มีความรุนแรงและเสียชีวิตเกือบทุกราย โดยผู้ป่วยจะค่อย ๆ มีความเสื่อมทางจิต พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง หลงลืม ชักกระตุก ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และเสียชีวิตในที่สุด สามารถเพาะเชื้อไวรัสหัดได้จากสมองของผู้ป่วยที่เสียชีวิต
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยโรคหัดสามารถทำได้จากประวัติและอาการ เช่น ไข้ ไอ ตาแดง และผื่นขึ้นบริเวณหน้าและหลังหู โดยเฉพาะการพบ Koplik's spots จะช่วยยืนยันการวินิจฉัยได้ชัดเจน
ในระยะเริ่มต้นที่มีอาการไอมาก หากตรวจเลือดไม่พบการเพิ่มขึ้นของจำนวนเม็ดเลือดขาวให้มั่นใจว่ายังไม่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ระยะนี้หากตรวจน้ำมูกหรือเสมหะด้วยวิธีย้อม H & E จะพบ Warthin-Finkeldy cell ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวขนาดใหญ่ มีนิวเคลียสอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก
การตรวจ Immunofluorescent antibody โดยใช้เยื่อบุจมูกก็ให้ผลบวกได้ไวในระยะที่ยังไม่มีผื่นออก
โรคหัดต้องแยกโรคจากโรคที่มีไข้ออกผื่นอื่น ๆ ในกลุ่มของไวรัสก็เช่น ไข้ออกผื่นในเด็กเล็ก หัดเยอรมัน และโมโนนิวคลีโอสิส ในกลุ่มของแบคทีเรียก็เช่น ไข้อีดำอีแดง ซิฟิลิส ไข้กาฬหลังแอ่น ซึ่งการตรวจนับเม็ดเลือดขาวจะช่วยแยกโรคในสองกลุ่มนี้ได้
การรักษา
ยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสหัดได้ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน ให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้พักผ่อน ให้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ อาการจะดีขึ้นเองใน 7 วัน
ถ้าไข้ยังไม่ลงหลังผื่นขึ้นแล้ว 3 วัน ให้นึกถึงภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบจากแบคทีเรีย หูน้ำหนวก สมองอักเสบ โดยดูจากอาการของผู้ป่วยที่เป็นมากขึ้น ถ้าตรวจนับเม็ดเลือดขาวในเลือดสูงขึ้นต้องให้ยาปฏิชีวนะคลุมเชื้อแบคทีเรีย ภาวะสมองอักเสบจากโรคหัดยังไม่มียารักษาเฉพาะ การรักษาส่วนใหญ่คือการให้ยากันชัก ผู้ป่วยจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง
การป้องกัน
วัคซีนเป็นวิธีป้องกันที่ได้ผลดีที่สุด ช่วยลดอุบัติการณ์และความรุนแรงของโรค ควรฉีดให้เด็กทุกราย ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน 3 ชนิดรวมกันเข็มเดียว ที่เรียกว่า MMR
สรุป
โรคหัดเป็นโรคติดต่อที่มีอาการจำเพาะ เช่น ไข้ ไอ ตาแดง และผื่นที่เริ่มจากหน้าและหลังหู แม้ส่วนใหญ่หายเองได้ แต่ภาวะแทรกซ้อนบางชนิด เช่น ปอดอักเสบและสมองอักเสบ อาจรุนแรงถึงชีวิต การป้องกันโดยการฉีดวัคซีน MMR จึงเป็นมาตรการที่สำคัญที่สุด เพื่อปกป้องทั้งตัวผู้ป่วยและลดการแพร่กระจายของโรคในชุมชน