โรคคางทูม (Mumps)
โรคคางทูมเป็นโรคที่พบได้เฉพาะในมนุษย์ เกิดจากเชื้อไวรัสที่ทำให้มีอาการไข้เฉียบพลัน ต่อมน้ำลายอักเสบ และอาจมีอัณฑะหรือรังไข่อักเสบ โรคนี้พบบ่อยในเด็ก แต่หลังจากที่มีการใช้วัคซีนป้องกันโรคคางทูม อุบัติการของโรคก็ลดลงมาก
อาการของโรค
เชื้อไวรัสคางทูมเข้าร่างกายทางปากหรือทางการหายใจ มีระยะฟักตัวประมาณ 1-3 สัปดาห์ ในช่วงแรกผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำ ๆ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย และเจ็บคอ ต่อมาจะเริ่มมีอาการอักเสบของต่อมน้ำลายบริเวณแก้ม โดยต่อมน้ำลายจะบวมโตอย่างรวดเร็ว
การบวมมักลามไปด้านหลังถึงใบหูและคลุมมุมขากรรไกร ทำให้ไม่สามารถคลำขอบขากรรไกรได้ ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญที่ช่วยแยกโรคคางทูมออกจากการอักเสบของต่อมน้ำเหลืองจากสาเหตุอื่น ผู้ป่วยมักมีไข้สูง เจ็บขณะเคี้ยวและกลืน ร้อยละ 80 จะเกิดการอักเสบที่ต่อมน้ำลายอีกข้างหนึ่งภายใน 4-5 วันต่อมา ขณะที่ข้างแรกเริ่มยุบ อาการบวมของต่อมน้ำลายมักเป็นอยู่ไม่เกิน 7 วัน เวลาหายจะหายอย่างรวดเร็ว ทั้งการบวม การเจ็บ และไข้
ในผู้ป่วยชายประมาณร้อยละ 20 อาจเกิดอัณฑะอักเสบ อาจเกิดพร้อมกับต่อมน้ำลายอักเสบหรือเกิดขึ้นเดี่ยว ๆ เริ่มแรกจะมีอาการปวดที่อัณฑะ มักเป็นเพียงข้างเดียว อัณฑะบวมโตขึ้น 3-4 เท่า กดเจ็บ มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดหลัง คลื่นไส้และอาเจียน อาการบวมจะเป็นอยู่ประมาณ 3-7 วันแล้วค่อย ๆ หายไป ในระยะยาวร้อยละ 50 ของผู้ป่วยอาจพบอัณฑะฝ่อเล็กน้อยและจำนวนอสุจิลดลง แต่มีเพียงร้อยละ 2 ที่จะนำไปสู่ภาวะมีบุตรยาก
ในผู้ป่วยหญิงอาจพบรังไข่อักเสบ ทำให้มีไข้และปวดท้องน้อย บางรายสามารถคลำรังไข่ที่โตและกดเจ็บได้ อาการอาจเกิดพร้อมหรือแยกจากต่อมน้ำลายอักเสบ แต่อุบัติการณ์พบน้อยกว่าอัณฑะอักเสบมาก
ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ของโรคคางทูม ได้แก่
- ตับอ่อนอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และกดเจ็บบริเวณลิ้นปี่ในช่วง 2-3 วันแรกของโรค ตรวจพบค่าเอนไซม์ amylase สูงขึ้น ส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและหายได้เอง
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง 3 เท่า มักเกิดหลังจากมีต่อมน้ำลายอักเสบ อาการได้แก่ ไข้ ปวดศีรษะ คอแข็ง หลังแข็ง และซึม ตรวจน้ำไขสันหลังพบเซลล์ลิมโฟไซต์เพิ่มขึ้น ระยะโรคสั้น มักหายภายใน 3-10 วันโดยไม่ทิ้งพยาธิสภาพ
- สมองอักเสบ มีไข้สูง ปวดศีรษะ บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนไหวและการทรงตัวผิดปกติ อาจมีอาการชัก เพ้อ และบางรายเกิดภาวะแทรกซ้อนถาวร เช่น หูหนวก แขนขาอ่อนแรง มักเกิดหลังต่อมน้ำลายอักเสบ 7-10 วัน
- ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่พบได้แต่น้อยมาก เช่น ต่อมไทรอยด์อักเสบ ข้ออักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ต่อมน้ำตาอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ และไตอักเสบ
การวินิจฉัย
การตรวจทางซีโรโลยี เช่น Complement fixation ของแอนติเจน S และ V ช่วยยืนยันการวินิจฉัย หากค่า S สูงและ V ต่ำ แสดงว่ากำลังเป็นโรค แต่ถ้า S ต่ำและ V สูง แสดงว่าเป็นโรคมาแล้วระยะหนึ่ง
ในผู้ใหญ่ ต้องแยกโรคจากภาวะต่อมน้ำลายอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus ซึ่งมักพบในผู้ป่วยเรื้อรัง เบาหวาน หรือไตวาย รวมถึงต้องแยกจากเนื้องอกของต่อมน้ำลายที่โตช้าและไม่เจ็บ
ในผู้ใหญ่หากมีอาการอัณฑะอักเสบเพียงอย่างเดียว ต้องแยกจากโรคโกโนเรีย ไข้ฉี่หนู อีสุกอีใส และการติดเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ
ผู้ที่มีอาการทางระบบประสาท เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือสมองอักเสบ ต้องแยกโรคจากวัณโรคและเชื้อรา โดยใช้การตรวจน้ำไขสันหลังและซีโรโลยีช่วย
การรักษา
เนื่องจากโรคคางทูมเกิดจากไวรัส จึงยังไม่มียารักษาเฉพาะ การรักษาจะเป็นแบบประคับประคอง ได้แก่ การนอนพัก ใช้ยาแก้ปวดและลดไข้ การประคบด้วยน้ำร้อนหรือน้ำเย็นเพื่อลดอาการปวด หากมีภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท ควรนอนพักรักษาในโรงพยาบาล
การป้องกัน
วัคซีนป้องกันโรคคางทูมอยู่ในรูปของวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน และคางทูม (MMR) โดยแนะนำให้ฉีดในเด็กอายุ 15 เดือนขึ้นไป
การกักกันผู้ป่วยไม่ช่วยป้องกันการแพร่เชื้อ เนื่องจากเชื้อสามารถแพร่กระจายได้ตั้งแต่ก่อนผู้ป่วยมีอาการหลายวัน
สรุป
โรคคางทูมเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่พบบ่อยในเด็ก ทำให้เกิดต่อมน้ำลายอักเสบและอาจลุกลามไปยังอวัยวะสืบพันธุ์หรือระบบประสาท ภาวะแทรกซ้อนส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่บางรายอาจเกิดผลกระทบระยะยาว เช่น อัณฑะฝ่อหรือหูหนวก การรักษาเป็นแบบประคับประคอง เน้นการพักผ่อนและบรรเทาอาการ การป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการได้รับวัคซีน MMR ซึ่งช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคได้อย่างมาก