โรคฝีรั่ว (Mycetoma)
โรคฝีรั่วเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่มีลักษณะเฉพาะคือเป็นฝีที่ไม่เจ็บ มีรูเปิดที่ผิวหนังทำให้มีหนองไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง สาเหตุเกิดจากเชื้อรา หรือแบคทีเรียในกลุ่ม Actinomycetes ซึ่งมีรูปร่างเป็นเส้นใยและเจริญเติบโตช้า หนองจากโรคนี้มักมีลักษณะเป็นตะกอนสีต่าง ๆ เนื่องจากโคโลนีของเชื้อรวมตัวกัน โรคแอคติโนมัยโคสิส จัดเป็นฝีรั่วชนิดหนึ่งที่สามารถลุกลามไปยังระบบอื่น ๆ ได้ด้วย ไม่จำกัดเฉพาะผิวหนัง
เชื้อที่ก่อโรคฝีรั่วมักพบในดินและพืช ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะได้รับเชื้อจากการถูกบาดหรือถูกตำเล็กน้อย โดยเฉพาะผู้ที่เดินเท้าเปล่าในสวนหรือป่า เชื้อเหล่านี้จะเจริญเติบโตอย่างช้า ใช้เวลาเป็นเดือนถึงปี โดยทั่วไปภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถกำจัดเชื้อออกได้ จึงทำให้โรคฝีรั่วพบได้ไม่บ่อยเมื่อเทียบกับจำนวนการบาดเจ็บเล็กน้อยที่เกิดขึ้นเป็นประจำ
อาการของโรค
เริ่มแรกจะเป็นตุ่มเล็ก ๆ แข็ง ๆ ที่ใต้ผิวหนัง บริเวณเท้า มือ หรือใบหน้าที่เคยมีบาดแผล อาจเกิดหลายตุ่มพร้อมกันและค่อย ๆ โตขึ้น โดยไม่มีอาการเจ็บหรือไข้ ช่วงนี้อาจยาวนานหลายสัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเนื้องอก จากนั้นตุ่มจะแตกออกกลายเป็นแผลเรื้อรัง มีหนองไหลออกมา โดยมากมีเพียงอาการคันหรือแสบเล็กน้อย แผลลักษณะนี้สามารถอยู่นานเป็นปี ๆ
ตะกอนที่ออกมากับหนองมีสีแตกต่างกันไปตามชนิดของเชื้อ เช่น
- ตะกอนสีดำ: Leptosphaeria senegalensis, Madurella grisea, Madurella mycetomatis, Pyrenochaeta romeroi
- ตะกอนสีขาว: Acremonium species, Noetestudina rosatii, Pseudallescheria boydii
- ตะกอนสีครีมคล้ายผง: Actinomadura madurae, Nocardia asteroides, Nocardia brasiliensis
- ตะกอนสีน้ำตาลแดง: Actinomadura pelletieri, Streptomyces somaliensis
ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยคือการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ ทำให้เกิดฝีและสะเก็ดปิดรูเปิดชั่วคราว แต่เชื้อราหรือแบคทีเรียที่อยู่ลึกใต้ผิวหนังก็ยังเจริญต่อไป หนองที่สะสมมากขึ้นจะทะลุออกเป็นรูใหม่ วนซ้ำไปมา ทำให้เกิดก้อนตะปุ่มตะป่ำคล้ายเนื้องอก ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า Mycetoma (ก้อนเส้นใย)
ในระยะยาวหากเชื้อลุกลามลึกถึงกล้ามเนื้อและกระดูก ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเจ็บปวด กล้ามเนื้อและกระดูกถูกทำลายจนใช้งานไม่ได้ตามปกติ และนำไปสู่ภาวะพิการถาวร
การวินิจฉัยโรค
โรคฝีรั่วเจริญช้า ทำให้มีเวลาเพียงพอสำหรับการตรวจวินิจฉัย แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรมองข้ามเพียงเพราะไม่มีอาการเจ็บ การวินิจฉัยทำได้โดยการย้อมและเพาะเชื้อจากหนอง หากเป็นมานานกว่า 1 ปี แพทย์อาจส่งตรวจเอกซเรย์เพื่อดูการลุกลามของเชื้อในกระดูกและเนื้อเยื่อ กรณีที่รูเปิดปิดหมดหรือกลายเป็นก้อนแข็ง อาจต้องผ่าตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ เพื่อแยกโรคจากโรคลิชมาเนีย โรคเรื้อน วัณโรค โรคซาร์คอยโดสิส และเนื้องอกชนิดอื่น
การรักษา
โรคฝีรั่วไม่สามารถหายเองได้ จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ ซึ่งยาที่เลือกใช้ขึ้นกับผลการเพาะเชื้อ ระยะเวลาการรักษายาวนานตั้งแต่หลายเดือนถึงหลายปี การผ่าตัดมีบทบาทในรายที่มีโพรงหนองขนาดใหญ่ มีก้อนเนื้อเยื่อที่โตผิดปกติ เกิดการดึงรั้งของอวัยวะ หรือมีการทำลายของกระดูกแล้ว หากโรคกินลึกมาก การรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียวมักไม่ได้ผลและอาจจำเป็นต้องตัดอวัยวะ
ผลลัพธ์การรักษาขึ้นอยู่กับความเร็วในการเริ่มรักษา หากเริ่มตั้งแต่ระยะแรกจะมีโอกาสหายได้มาก แต่หากปล่อยทิ้งไว้นาน แม้ได้รับการรักษาครบถ้วนก็มีโอกาสกลับเป็นซ้ำสูง และการรักษาครั้งต่อไปมักได้ผลแย่ลง สุดท้ายผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยต้องสูญเสียอวัยวะ
การป้องกัน
การป้องกันโรคฝีรั่วโดยสมบูรณ์ทำได้ยาก สิ่งที่ทำได้คือการรณรงค์ให้สวมรองเท้าทุกครั้งเมื่อต้องเดินในสวนหรือในป่า และหากมีฝีที่ไม่เจ็บเกิดขึ้นควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาโดยเร็ว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการในอนาคต
สรุป
โรคฝีรั่วเป็นโรคติดเชื้อเรื้อรังของผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราและแบคทีเรียกลุ่ม Actinomycetes มีลักษณะเฉพาะคือฝีไม่เจ็บแต่มีหนองไหลเรื้อรัง หากไม่ได้รับการรักษาจะลุกลามลงสู่กล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้พิการถาวรได้ การวินิจฉัยทำได้จากการเพาะเชื้อและตรวจชิ้นเนื้อ ส่วนการรักษาต้องใช้ยานานหลายเดือนถึงปี และอาจต้องผ่าตัดร่วมด้วย การป้องกันที่ดีที่สุดคือการสวมรองเท้าและรีบรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก