โรคปอดบวมจากไมโคพลาสมา (Mycoplasma pneumonia)
โรคปอดบวมชนิดนี้เกิดจากเชื้อ Mycoplasma pneumoniae ซึ่งเป็นจุลชีพขนาดเล็กมาก มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างไวรัสกับแบคทีเรีย เชื้อนี้ไม่มีผนังเซลล์ แต่มีเยื่อหุ้มเซลล์ที่ประกอบด้วยโคเลสเตอรอลหนาแน่น ทำให้รูปร่างเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม เชื้อดังกล่าวสามารถก่อให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบและปอดบวม โดยพบได้บ่อยในเด็กและวัยหนุ่มสาว การติดต่อเกิดขึ้นผ่านทางการหายใจจากละอองเสมหะของผู้ติดเชื้อ
อาการของโรค
ความรุนแรงของโรคมีตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงอาการรุนแรง หลังได้รับเชื้อประมาณ 1–4 สัปดาห์ ผู้ป่วยที่มีอาการจะเริ่มมีไข้ ปวดศีรษะ เจ็บคอ ไอ และอ่อนเพลีย ระยะแรกมักเป็นไม่มาก และบางรายสามารถหายได้เองภายใน 3–10 วันโดยไม่ต้องใช้ยา
หากอาการยังคงอยู่ เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่สอง ผู้ป่วยจะมีอาการไอรุนแรงขึ้น อาจมีไอเป็นเลือด เจ็บหน้าอกเวลา หายใจ และเริ่มเหนื่อยหอบ ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้แต่ไม่บ่อย ได้แก่ หูชั้นกลางอักเสบ ภาวะซีดจากเม็ดเลือดแดงแตก ภาวะเกร็ดเลือดต่ำ ตับอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ข้ออักเสบ สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปลายประสาทอักเสบ และผื่นที่ผิวหนัง
การวินิจฉัยโรค
ผู้ป่วยมักยังสามารถเดินมาพบแพทย์ได้เอง อาการมักคล้ายไข้หวัดทั่วไป แต่ภาพเอกซเรย์ทรวงอกแสดงว่ามีการอักเสบในปอด จึงถูกเรียกว่า “Walking pneumonia” โดยเฉพาะในเด็กต้องแยกโรคออกจากปอดบวมที่เกิดจากเชื้อไวรัส
การเพาะเชื้อ M. pneumoniae ไม่ค่อยใช้ เนื่องจากต้องใช้อาหารเลี้ยงเชื้อเฉพาะและใช้เวลานานถึง 14 วัน การวินิจฉัยจึงอาศัยการตรวจสารพันธุกรรมของเชื้อ (PCR) จากเสมหะ หรือการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับแอนติบอดี เช่น Enzyme immunoassay, Complement fixation test, Particle agglutination test และ Cold agglutination test หากตรวจครั้งแรกผลยังไม่ชัดเจน แพทย์อาจนัดตรวจเลือดซ้ำอีกครั้งใน 2–3 สัปดาห์ หากระดับแอนติบอดีเพิ่มขึ้น 4 เท่า หรือมีค่า ≥ 1:64 ตั้งแต่ครั้งแรก ก็ถือว่าเป็นผลบวกยืนยันโรคได้
การรักษา
โดยทั่วไปโรคสามารถหายได้เองภายในประมาณ 3 สัปดาห์ อาการไข้มักหายไปก่อน แต่อาการไอจะยังคงอยู่อีกระยะหนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ทุเลา อย่างไรก็ตาม การใช้ยาปฏิชีวนะช่วยให้ผู้ป่วยหายเร็วขึ้น ลดการแพร่กระจายของเชื้อ และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน
ยาที่ได้ผลดีคือยากลุ่ม Tetracycline และ Erythromycin ซึ่งช่วยให้อาการไข้หายภายใน 1–3 วัน ส่วนยากลุ่ม Penicillin ไม่ได้ผล เพราะเชื้อนี้ไม่มีผนังเซลล์ซึ่งเป็นเป้าหมายของยากลุ่มนี้
การป้องกัน
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมจากไมโคพลาสมา วิธีที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการไข้ ไอ หรือจาม โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
สรุป
โรคปอดบวมจากไมโคพลาสมาเป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจที่พบได้บ่อยในเด็กและวัยหนุ่มสาว มีอาการหลากหลายตั้งแต่คล้ายไข้หวัดธรรมดาไปจนถึงปอดบวมรุนแรง การวินิจฉัยอาศัยการตรวจสารพันธุกรรมหรือการตรวจระดับแอนติบอดี การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมช่วยให้ผู้ป่วยหายเร็วขึ้นและลดภาวะแทรกซ้อน แม้โรคนี้จะสามารถหายได้เอง แต่การดูแลรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่แรกมีความสำคัญต่อการฟื้นตัวและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย การป้องกันทำได้โดยการลดการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนป้องกัน