โรคพยาธิใบไม้ในตับ (Opisthorchiasis)
โรคพยาธิใบไม้ในตับเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากหากเป็นเรื้อรังนาน ๆ อาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งและมะเร็งท่อน้ำดี ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูง
โรคนี้เกิดจากพยาธิใบไม้ขนาดเล็กในจีนัส Opisthorchis และ Clonorchis พบมากในทวีปเอเชีย โดยพยาธิตัวแก่อาศัยอยู่ในท่อน้ำดีของคน สุนัข และแมว ไข่ของพยาธิจะปนมากับน้ำดีเข้าสู่ลำไส้และออกมากับอุจจาระ เมื่อตกลงสู่แหล่งน้ำ หอยน้ำจืดจะกินไข่เข้าไปและไข่จะพัฒนาเป็นตัวอ่อนในหอย จนกระทั่งกลายเป็นระยะเซอร์คาเรีย (cercaria) จากนั้นตัวอ่อนจะออกจากหอย ว่ายเข้าสู่ปลาน้ำจืด และสร้างถุงซิสต์หุ้ม (metacercaria) เมื่อคนกินปลาน้ำจืดที่ไม่สุก เช่น ก้อยปลา ซึ่งนิยมในภาคอีสาน ตัวอ่อนจะเข้าสู่ลำไส้และไชไปอยู่ในท่อน้ำดี กลายเป็นตัวแก่และก่อโรค
พยาธิสภาพ
พยาธิตัวแก่จะปล่อยสารที่ระคายเคืองต่อผนังท่อน้ำดี ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง เซลล์บุท่อน้ำดีหนาตัวและตีบแคบลง เมื่อจำนวนพยาธิเพิ่มขึ้นจะเกิดการอุดตันท่อน้ำดี และติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ง่าย การติดเชื้อนี้อาจลุกลามไปถึงเนื้อตับ ก่อให้เกิดฝีหนอง หากเป็นเรื้อรังจะนำไปสู่ภาวะตับแข็งและมะเร็งท่อน้ำดี
อาการของโรค
ระยะแรกผู้ป่วยมักไม่แสดงอาการ ตรวจพบเพียงไข่พยาธิในอุจจาระเท่านั้น เมื่อจำนวนพยาธิเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการท้องอืด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย จุกเสียด โดยเฉพาะบริเวณชายโครงขวาและลิ้นปี่ ซึ่งเป็นผลจากการอักเสบของท่อน้ำดี
หากมีการอักเสบติดเชื้อรุนแรง (cholangitis) ผู้ป่วยจะมีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้องมากบริเวณชายโครงขวา และมีอาการดีซ่าน ภาวะนี้อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียจากลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด เกิดความดันโลหิตต่ำ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด และอาจเสียชีวิตได้
แม้รักษาอาการติดเชื้อจนหาย แต่หากยังมีพยาธิอยู่ ท่อน้ำดีก็ยังคงอักเสบเรื้อรัง ทำให้ตับโตและมีอาการเหลืองจากการอุดตันของท่อน้ำดี
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยเบื้องต้นทำได้โดยตรวจอุจจาระ พบไข่ของพยาธิซึ่งมีลักษณะรี รูปไข่ มีฝาปิดด้านหนึ่ง และมีติ่งเล็ก ๆ ที่ด้านตรงข้าม
แต่ในระยะที่มีอาการเหลืองแล้ว ไข่พยาธิมักไม่ค่อยออกมาในอุจจาระ จึงตรวจพบได้ยาก และแม้ตรวจพบก็ไม่สามารถทำให้พยาธิสภาพของตับกลับคืนสู่ปกติได้
การรักษา
ควรให้ยาฆ่าพยาธิทันทีเมื่อพบไข่พยาธิในอุจจาระ แม้ผู้ป่วยจะยังไม่มีอาการก็ตาม ยาที่ใช้รักษามี 2 ชนิด คือ:
- Praziquantel: ขนาด 75 มก./กก. แบ่งกิน 3 ครั้ง ภายในวันเดียว
- Mebendazole: ขนาด 30 มก./กก./วัน ต่อเนื่อง 3 สัปดาห์
ในผู้ป่วยที่มีการอักเสบของท่อน้ำดีรุนแรง ควรให้ยาปฏิชีวนะฉีดเพื่อครอบคลุมเชื้อแบคทีเรียแกรมลบจากลำไส้ หากมีภาวะท่อน้ำดีอุดตันที่ยังไม่พัฒนาไปเป็นตับแข็งหรือมะเร็งท่อน้ำดี อาจพิจารณาการผ่าตัดเพื่อระบายน้ำดีและลดอาการเหลือง
วิธีป้องกัน
เลิกรับประทานปลาน้ำจืดดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ รักษาสุขอนามัย ไม่ถ่ายอุจจาระลงแหล่งน้ำ และให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโรคและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น<
สรุป
โรคพยาธิใบไม้ในตับเป็นโรคที่พบบ่อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย มีสาเหตุจากการกินปลาน้ำจืดดิบที่มีตัวอ่อนพยาธิ หากปล่อยทิ้งไว้อาจก่อให้เกิดภาวะรุนแรง เช่น ตับแข็งและมะเร็งท่อน้ำดี การตรวจอุจจาระพบไข่พยาธิช่วยในการวินิจฉัย การรักษาทำได้โดยการให้ยาฆ่าพยาธิร่วมกับการดูแลภาวะแทรกซ้อน การป้องกันที่ได้ผลที่สุดคือการหลีกเลี่ยงอาหารดิบและการให้ความรู้ด้านสุขภาพแก่ชุมชน