โรคหูชั้นกลางอักเสบ (Otitis media)
โรคหูชั้นกลางอักเสบ หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า “หูน้ำหนวก” เป็นการติดเชื้อในหูชั้นกลาง ซึ่งเชื้อโรคสามารถเข้าสู่หูชั้นกลางได้ 3 ทางหลัก ได้แก่
- จากการติดเชื้อในคอหรือจมูก ผ่านท่อยูสเตเชียน (eustachian tube) ไปยังหูชั้นกลาง
- จากเชื้อที่เข้าสู่รูหู ผ่านแก้วหูที่ทะลุแล้วลุกลามเข้าสู่หูชั้นกลาง
- การแพร่กระจายผ่านกระแสเลือด
โรคนี้พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี เนื่องจากท่อยูสเตเชียนของเด็กสั้นกว่าและอยู่ในแนวราบมากกว่าผู้ใหญ่
เชื้อก่อโรคส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแบคทีเรีย (55-75%) โดยร้อยละ 80 มักพบ Streptococcus pneumoniae, Haemophilus influenzae และ Moraxella catarrhalis นอกจากนี้ยังอาจพบ Staphylococcus aureus, Streptococcus กลุ่ม A และ B รวมถึงแบคทีเรียแกรมลบ โดยเฉพาะในทารกแรกเกิด ส่วนเชื้อไวรัสที่พบได้ (10-40%) ได้แก่ Respiratory syncytial virus, Rhinovirus, Influenza virus และ Adenovirus
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยที่เพิ่มโอกาสเกิดโรค ได้แก่ ภาวะปากแหว่งเพดานโหว่, การเลี้ยงลูกด้วยนมขวด, การอยู่ในศูนย์เลี้ยงเด็ก, การติดเชื้อทางเดินหายใจ, การใส่สายให้อาหารทางจมูก, การว่ายน้ำหรือดำน้ำในขณะเป็นหวัด, การสูดควันบุหรี่ และภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
อาการของโรค
โรคหูชั้นกลางอักเสบแบ่งออกเป็น 3 แบบ ได้แก่
- หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน (Acute otitis media) มีระยะของการดำเนินโรคดังนี้
- ระยะบวมแดง ผู้ป่วยจะมาด้วยอาการปวดหู
หรือแน่น ๆ ในหู มีไข้ และการได้ยินผิดปกติ ในเด็กเล็กจะร้องไห้งอแง ไม่ยอมนอน มักดึงใบหูของตัวเอง ถ้าส่องด้วยเครื่องมือแพทย์จะพบแก้วหูบวมแดง ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญที่ใช้แยกจากภาวะนํ้าคั่งในหูชั้นกลาง (แบบที่ 3)
- ระยะมีน้ำ ภายใน 1-2 วันจะเริ่มมีซีรั่มซึมออกมาจาก
หลอดเลือดที่ขยายตัว เข้าไปในหูชั้นกลางและในโพรงอากาศมาสตอยด์ (mastoid air cell) ที่อยู่หลังหู ผู้ป่วยจะมีอาการปวดมากขึ้น ไข้สูง การได้ยินลดลง ตรวจดูในหูจะพบแก้วหูที่บวมแดงโป่งนูนเพราะถูกน้ำข้างในดันออกมา
- ระยะทะลุ เป็นระยะที่แก้วหูทนแรงดันจากน้ำข้างในหูชั้นกลางไม่ได้อีก จึงเกิดการทะลุ มีนํ้าปนเลือดและหนองไหลออกมาพักหนึ่ง อาการปวดหูและไข้จะลดลงอย่างมาก ส่วนใหญ่การอักเสบในหูชั้นกลางแบบเฉียบพลันจะหยุดแค่ในระยะนี้ เยื่อแก้วหูสามารถจะซ่อมแซมปิดรูที่ทะลุได้เองภายใน 2 สัปดาห์ และการได้ยินจะกลับมาเป็นปกติหรือเกือบปกติ แต่บางรายที่รูทะลุไม่สามารถปิดได้ก็จะเข้าสู่การอักเสบแบบเรื้อรังต่อไป
ระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินผ่านระยะต่าง ๆ จะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล บางรายจะอยู่ในระยะปวดบวมแดงอยู่นานโดยที่ยังตรวจไม่ค่อยพบน้ำ แต่โดยทั่วไปจากระยะบวมแดงถึงระยะทะลุกินเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์
และหากรักษาก่อนนั้นอาจป้องกันการทะลุได้
ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในโรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันคือโพรงมาสตอยด์อักเสบ โดยที่กกหูจะบวมแดงและกดเจ็บ
- หูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง (Chronic otitis media) เมื่อแก้วหูทะลุแล้วไม่สามารถปิดได้เองใน 2-3 สัปดาห์จะเข้าสู่ภาวะเรื้อรัง แบ่งได้เป็น 2 ชนิด
- ชนิดปลอดภัย (Safe Ear): เยื่อแก้วหูทะลุตรงกลาง ขอบของแก้วหูยังอยู่ครบวง จะไม่พบว่ามีถุงเซลล์ตาย (cholesteatoma) ผู้ป่วยจะมีหนองไหลจากหูเป็น ๆ หาย ๆ และเสียการได้ยินไปบางส่วน แต่ไม่มีไข้ ไม่ปวดหู
- ชนิดไม่ปลอดภัย (Unsafe Ear): เยื่อแก้วหูทะลุบริเวณขอบหรือด้านบน มี cholesteatoma ซึ่งสามารถทำลายกระดูกและโครงสร้างรอบข้าง อาการจะเหมือนชนิดปลอดภัย เว้นแต่อาจมีอาการวิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียนเพิ่มเติมเข้ามา
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง ได้แก่ cholesteatoma, หูชั้นในอักเสบ, กระดูกอักเสบ, อัมพาตเส้นประสาทใบหน้า (เวลายิ้มมุมปากขาวยกไม่ขึ้น เวลาหลับตาหนังตาขวาปิดไม่สนิท), เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และฝีในสมอง
- ภาวะนํ้าคั่งในหูชั้นกลาง (Otitis media with effusion) เป็นภาวะที่มีนํ้าขังในหูชั้นกลางโดยไม่มีการอักเสบหรือติดเชื้อ
ผู้ป่วยมักจะมาด้วยอาการหูอื้อ การได้ยินลดลง แต่ไม่ปวดหูและไม่มีไข้ ส่องในหูไม่พบการบวมแดงของแก้วหู แต่มีการขยับของเยื่อแก้วหูลดลง (เพราะมีน้ำขังอยู่ด้านหลัง) ภาวะนี้มักพบในเด็กที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ กลุ่มอาการของดาวน์ มีโครงสร้างใบหน้าที่ผิดปกติ แต่หากพบในผู้ใหญ่ควรต้องหาโรคมะเร็งของคอหอยส่วนจมูก (nasopharyngeal carcinoma) ด้วย เพราะอาจไปอุดท่อยูสเตเชี่ยนได้
การวินิจฉัยโรค
โรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันวินิจฉัยจากอาการและการส่องดูในรูหู หากแก้วหูยังไม่ทะลุสามารถยืนยันการมีน้ำในหูชั้นกลางได้ด้วยการตรวจ pneumatic otoscope และการวัด tympanometry หากทะลุแล้วจะเห็นรูทะลุและมีน้ำอยู่ในรูหูชั้นนอก สามารถนำน้ำในหูไปย้อมสีและเพาะหาชนิดของเชื้อได้ การตรวจนับเม็ดเลือดจะช่วยยืนยันภาวะติดเชื้อหากยังไม่มีหนองไหล ในรายที่เจ็บที่หลังหูด้วยต้องส่งเอกซเรย์กระดูกมาสตอยด์ เพื่อดูว่ามีโพรงมาสตอยด์อักเสบด้วยหรือไม่
ในรายที่เป็นเรื้อรังชนิดไม่ปลอดภัยก็ควรส่งเอกซเรย์กระดูกมาสตอยด์เช่นกัน เพื่อดูว่ามีการทำลายของกระดูกแล้วหรือไม่
ในรายที่ตรวจพบเป็นภาวะนํ้าคั่งในหูชั้นกลางโดยไม่มีไข้และไม่มีอาการปวดควรได้รับการตรวจ audiogram และ tympannogram ด้วย
การรักษา
- หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน
- กรณีแก้วหูยังไม่ทะลุ: อาจหายเอง 70-80% แต่การให้ยาปฏิชีวนะ 5-10 วันช่วยลดอาการและภาวะแทรกซ้อน ในเด็กเล็กควรให้ยานานกว่าผู้ใหญ่ หากไม่ดีขึ้นหรือมีไข้สูงอาจต้องเจาะแก้วหู (tympanocentesis) เพื่อลดแรงดันและนำตัวอย่างไปตรวจ
- กรณีแก้วหูทะลุ: ใช้ยาปฏิชีวนะนานขึ้น (10-14 วัน) อาจให้ยาหยอดหูร่วมด้วย ยาเริ่มต้นที่นิยมคือ Amoxicillin หรือ Amoxicillin + Clavulanic acid หากแพ้เพนิซิลลินใช้กลุ่ม Macrolides
- หูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง ชนิดปลอดภัยใช้ยาหยอดหู Fluoroquinolone 2-4 สัปดาห์ ร่วมกับทำความสะอาดหู หากไม่หายจึงผ่าตัดปะเยื่อแก้วหู (tympanoplasty) ส่วนชนิดไม่ปลอดภัยต้องผ่าตัดทันที
- ภาวะนํ้าคั่งในหูชั้นกลาง ให้ยาปฏิชีวนะระยะสั้น หากไม่ดีขึ้นควรเจาะแก้วหูและใส่ท่อระบาย (myringotomy with tube)
พยากรณ์โรค
หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันส่วนใหญ่หายได้เองหรือดีขึ้นด้วยยาปฏิชีวนะ แต่หากปล่อยไว้อาจกลายเป็นเรื้อรังและเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การได้ยินบกพร่องหรือการติดเชื้อลุกลามไปสมอง ในเด็กโรคนี้อาจมีผลต่อพัฒนาการด้านการได้ยินและการพูด สำหรับผู้ใหญ่ หากเป็นชนิดเรื้อรังไม่ปลอดภัยต้องรักษาโดยผ่าตัดเพื่อป้องกันการทำลายโครงสร้างสำคัญ พยากรณ์โรคจึงขึ้นกับความรวดเร็วในการวินิจฉัยและการรักษา
การป้องกัน
การป้องกันในเด็ก ได้แก่ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ หลีกเลี่ยงศูนย์เลี้ยงเด็ก งดบุหรี่ในครอบครัว ส่วนเด็กโตและผู้ใหญ่ควรป้องกันโรคหวัด และหลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรงเกินไป ผู้ที่มีการติดเชื้อบ่อย (มากกว่า 4 ครั้ง/ปี) อาจใช้ยาปฏิชีวนะในขนาดครึ่งหนึ่งของที่ใช้รักษา วันละครั้งก่อนนอน ในฤดูที่มีอากาศหนาวเย็น
สรุป
โรคหูชั้นกลางอักเสบเป็นโรคที่พบบ่อย โดยเฉพาะในเด็ก สาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส อาการมีตั้งแต่ปวดหู หูอื้อ การได้ยินลดลง ไปจนถึงมีหนองไหลออกจากหู การรักษาหลักคือยาปฏิชีวนะและการผ่าตัดในบางกรณี หากละเลยการรักษาอาจกลายเป็นเรื้อรังและก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ ดังนั้นการป้องกันโดยการลดปัจจัยเสี่ยง การรักษาโรคหวัด และการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคนี้