ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis)
ภายในช่องท้องของมนุษย์ ส่วนที่อยู่ถัดลงไปจากผนังหน้าท้อง จะมีแผ่นเนื้อเยื่อบาง ๆ ห่อหุ้มอวัยวะต่าง ๆ เรียกว่า เยื่อบุช่องท้อง ภายในเยื่อบุช่องท้องนี้นอกจากจะมีอวัยวะต่าง ๆ แล้วยังมีของเหลวสีเหลืองใสประมาณ 20-50 มล. เป็นตัวหล่อลื่นเวลาที่อวัยวะต่าง ๆ เคลื่อนขึ้นลงขณะหายใจ และเคลื่อนไปมาขณะย่อยอาหารและขับถ่าย
หากมีการสะสมของของเหลวภายในช่องท้องมากผิดปกติจะเกิดภาวะ ท้องมาน ทำให้ท้องโตคล้ายหญิงตั้งครรภ์ 7-9 เดือน พบได้ทั้งชายและหญิง สาเหตุหลัก (ประมาณ 80%) มักเกิดจากโรคตับแข็ง ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ได้แก่ ภาวะหัวใจล้มเหลว มะเร็งระยะลุกลาม วัณโรคในช่องท้อง ภาวะขาดอัลบูมินในเลือดอย่างรุนแรง เป็นต้น
ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบปฐมภูมิ และโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบทุติยภูมิ ซึ่งมีกลไกการเกิดโรคและแนวทางการรักษาที่แตกต่างกัน
โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบปฐมภูมิ (Primary peritonitis, spontaneous bacterial peritonitis)
พบเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะท้องมาน โดยกลไกการเกิดยังไม่ชัดเจน ราว 2 ใน 3 ของผู้ป่วยพบการติดเชื้อโดยไม่ทราบแหล่งที่มา และอีก 1 ใน 3 พบการอักเสบแต่ไม่พบหลักฐานของการติดเชื้อ
เชื้อที่ตรวจพบจากน้ำในช่องท้องหรือจากเลือดส่วนใหญ่เป็นแบคทีเรียแกรมลบ รองลงมาคือแกรมบวก เชื้อกลุ่มแอนแอโรบส์พบได้น้อย คาดว่าเชื้อมาจากลำไส้ แต่ยังไม่ทราบกลไกการแพร่ชัดเจน
อาการสำคัญ ได้แก่ ไข้ ปวดท้องร่วมกับอาการจากท้องมาน เช่น ท้องโต ตาเหลือง และอ่อนเพลีย อาการปวดท้องมักต่อเนื่อง และรุนแรงขึ้นเมื่อเดิน ขยับตัว หรือกดหน้าท้อง หากผู้ป่วยที่มีท้องมานเกิดอาการดังกล่าวควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว
การวินิจฉัยทำโดยการเจาะน้ำในช่องท้องเพื่อตรวจหาเชื้อ ร่วมกับการตรวจเลือดประเมินภาวะทั่วไป การรักษาใช้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีดต่อเนื่องอย่างน้อย 5 วัน แม้ไม่พบเชื้อจากการเพาะ โดยทั่วไปจำเป็นต้องรักษาในโรงพยาบาลเพื่อให้ยาทางหลอดเลือดและติดตามอาการ
ผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคนี้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ หากภาวะท้องมานยังคงอยู่
โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบทุติยภูมิ (Secondary peritonitis)
เกิดจากพยาธิสภาพที่ชัดเจนในช่องท้อง เช่น แผลกระเพาะอาหารทะลุ ไส้ติ่งแตก ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน การบาดเจ็บช่องท้อง หรือหัตถการทางการแพทย์ เช่น การล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal dialysis)
การอักเสบมักเริ่มจากการที่มีสารระคายเยื่อบุ เช่น เลือด น้ำย่อย กรดในกระเพาะ น้ำดี หรืออุจจาระ รั่วออกมา แล้วตามด้วยการติดเชื้อ เชื้อส่วนใหญ่เป็นแบคทีเรียแกรมลบและเชื้อแอนแอโรบส์ในลำไส้ แต่ก็อาจเป็นปรสิต หนอนพยาธิ เชื้อรา หรือเชื้อชนิดอื่น ๆ ได้
อาการในระยะแรกขึ้นอยู่กับโรคต้นเหตุ แต่เมื่อเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ผู้ป่วยจะปวดท้องรุนแรง ขยับตัวยาก กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็ง หายใจตื้นสั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด ท้องอืดขึ้นเรื่อย ๆ และมักมีไข้เมื่อเกิดการติดเชื้อแทรกซ้อน
การวินิจฉัยอาศัยประวัติ ตรวจร่างกาย ร่วมกับเอกซเรย์ช่องท้อง อัลตราซาวด์ และการตรวจเลือด
การรักษาต้องผ่าตัดแก้ไขสาเหตุหลัก ร่วมกับการล้างช่องท้องและใส่ท่อระบาย นอกจากนี้ต้องให้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีดทั้งก่อนและหลังผ่าตัด
สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการล้างไตทางช่องท้อง ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด แต่ต้องถอดสายล้างไต ส่งตรวจเชื้อจากปลายสายและน้ำในช่องท้อง และให้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีดที่ปรับขนาดตามการทำงานของไต เชื้อที่พบบ่อยคือแบคทีเรียแกรมบวกจากผิวหนัง รองลงมาคือ Pseudomonas และเชื้อรา
สรุป
ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบเป็นภาวะที่อันตรายและอาจถึงแก่ชีวิตได้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาทันท่วงที โรคนี้แบ่งเป็น 2 ชนิดหลัก คือ ปฐมภูมิ ซึ่งมักเกิดในผู้ป่วยท้องมาน และทุติยภูมิ ซึ่งเกิดจากโรคหรือการบาดเจ็บอื่น ๆ ภายในช่องท้อง การรักษาต่างกันไปตามสาเหตุ แต่ล้วนต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างเร่งด่วน การป้องกันทำได้โดยการรักษาโรคต้นเหตุ ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และเฝ้าระวังอาการผิดปกติในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง