โรคไอกรน (Pertussis)
โรคไอกรนเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่แพร่กระจายได้ง่ายมาก เกิดจากเชื้อแบคทีเรียรูปแท่งแกรมลบชื่อ Bordetella pertussis ในอดีตโรคนี้พบมากในเด็ก แต่หลังจากมีการใช้วัคซีน DPT ความชุกในเด็กลดลงอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกลับพบได้บ่อยขึ้นในผู้ใหญ่ แม้จะเคยได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้วก็ตาม ผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยได้รับการวินิจฉัยผิดว่าเป็นโรคภูมิแพ้หรือหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ทั้งนี้เนื่องจากเชื้อเพอร์ทัสสิสโตช้าและเพาะขึ้นยาก ต้องอาศัยอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดพิเศษ จึงอาจทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยโรคไอกรนได้อย่างแน่ชัด
พยาธิสภาพ
เชื้อเพอร์ทัสสิสเข้าสู่ร่างกายทางการหายใจ ไปเกาะที่เซลล์เยื่อบุหลอดลมและสร้างสารพิษ (exotoxin) ที่กระตุ้นให้เซลล์เยื่อบุหลั่งสารเคมีออกมา ทำให้หลอดลมมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นแม้เพียงเล็กน้อย เช่น ลม ฝุ่น กลิ่น ความร้อน ความเย็น หรือเสียงพูด นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการผลิตเสมหะมากขึ้น ระยะเวลาของโรคกินเวลานาน 10-14 สัปดาห์ เนื่องจากสารพิษเป็นตัวก่อโรคหลัก การใช้ยาปฏิชีวนะจึงช่วยเพียงลดการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น แต่ไม่สามารถย่นระยะเวลาของโรคที่เกิดขึ้นแล้วได้
อาการของโรค
โรคไอกรนมีระยะฟักตัวประมาณ 7-10 วัน ถ้าโดนผู้ป่วยไอหรือจามใส่มาเกิน 2 สัปดาห์แล้วยังไม่แสดงอาการแสดงว่าปลอดภัยจากโรค อาการของโรคไอกรนแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ
- ระยะเริ่มต้น: อาการจะเริ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยจะมีไข้ต่ำ ๆ น้ำมูกไหล ไอเล็กน้อยแบบไม่มีเสมหะ แล้วค่อย ๆ ไอจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ระยะนี้กินเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
- ระยะไอเป็นชุด: ระยะนี้ไข้จะหายไปแล้ว แต่จะมีอาการไอติดกันเป็นชุด เสียงดัง ขณะไอจะหน้าแดงหน้าเขียว น้ำตาไหล ไอจนเสมหะเหนียวหลุดออกมา บ่อยครั้งจะมีอาการอาเจียนตามหลังการไอด้วย บางรายไอมากตอนกลางคืนจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน บางรายไอจนเจ็บอก เจ็บชายโครง น้ำหนักตัวลด ระยะนี้กินเวลาประมาณ 4-10 สัปดาห์
- ระยะฟื้นตัว: อาการไอเป็นชุดจะค่อย ๆ ห่างไปอย่างช้า ๆ และความรุนแรงน้อยลงเรื่อย ๆ จนหายสนิท ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไอกรนเกิดจากการที่มีแรงดันสูงภายในทรวงอกจากการไอติดต่อกันเป็นเวลานาน ที่พบได้บ่อยคือ ปอดแตก ไส้เลื่อน เลือดออกใต้เยื่อบุตา บางครั้งอาจพบภาวะปอดแฟบจากการที่เสมหะเหนียวอุดหลอดลมแขนงใดแขนงหนึ่งของปอดทั้งกลีบ และในเด็กเล็กอาจพบอาการชักหรือมีเลือดออกในสมองจากการไอที่รุนแรงมาก
การวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัยโรคไอกรนที่แน่ชัดทำได้โดยการเพาะเชื้อเพอร์ทัสสิสจากเสมหะด้วยอาหารวุ้นชนิด Bordet-Gengou media แต่โอกาสที่เชื้อจะขึ้นก็ยังมีน้อย ส่วนใหญ่แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการที่ไอเป็นชุด ๆ นานติดต่อกันเกิน 3 สัปดาห์ ไม่มีประวัติเคยเป็นภูมิแพ้มาก่อน ภาพรังสีทรวงอกไม่มีลักษณะของปอดอักเสบ เนื้องอก น้ำท่วมปอด หรือถุงลมโป่งพอง และสามารถตัดโรคที่มีอาการคล้ายกันออกได้หมด เช่น โรคหลอดลมอักเสบ หอบหืด วัณโรคปอด หรือ Cystic fibrosis
การรักษา
แม้ยังไม่มียาปฏิชีวนะที่ลดระยะของโรคได้ แต่แพทย์มักให้ยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมการแพร่เชื้อและป้องกันการติดเชื้อร่วม ยาที่ช่วยบรรเทาอาการ ได้แก่ ยาขยายหลอดลมกลุ่ม β-agonist และ Prednisolone บางรายอาจต้องใช้ยาละลายเสมหะเพื่อช่วยให้ไอง่ายขึ้น หากมีภาวะปอดแฟบอาจต้องใช้การเคาะปอดหรือการพ่นไอน้ำ อย่างไรก็ตาม การรักษาทั้งหมดนี้ไม่สามารถทำให้โรคหายเร็วขึ้น
การป้องกัน
เนื่องจากการรักษายังไม่ค่อยได้ผล การป้องกันจึงสำคัญที่สุด ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไอกรน ฉีดร่วมกับวัคซีนคอตีบและบาดทะยัก (DPT) โดยแนะนำให้ฉีดในเด็กเมื่ออายุ 2 เดือน, 4 เดือน, 6 เดือน, 1 ปี และกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 5 ปี
สรุป
โรคไอกรนเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่แพร่กระจายได้ง่ายและมีอาการรุนแรง โดยเฉพาะในเด็ก แม้วัคซีนจะช่วยลดความชุกของโรคในเด็กได้ แต่ยังคงพบในผู้ใหญ่ที่ภูมิคุ้มกันลดลง อาการสำคัญคือการไอติดกันเป็นชุดยาวนาน ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง การรักษายังไม่สามารถทำให้โรคหายเร็วขึ้น แต่ช่วยลดการแพร่เชื้อและบรรเทาอาการ ดังนั้น การป้องกันโดยการฉีดวัคซีนตามเกณฑ์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด