กาฬโรค (Plague)

กาฬโรคเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่เคยคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมหาศาลในประวัติศาสตร์ ปัจจุบันพบผู้ป่วยน้อยลงอย่างมาก เนื่องจากการพัฒนาของระบบสาธารณสุขและการควบคุมสัตว์พาหะ โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Yersinia pestis ซึ่งอาศัยอยู่ในสัตว์ฟันแทะ โดยมีหนูเป็นแหล่งรังโรคสำคัญ และแพร่สู่คนผ่านหมัดหนูที่เป็นพาหะ

พยาธิสภาพ

มนุษย์ติดเชื้อกาฬโรคได้ 2 ทางหลัก คือ

  • การหายใจเอาละอองที่ปนเปื้อนเชื้อจากซากสัตว์หรือผู้ป่วย
  • การถูกหมัดหนูที่มีเชื้อกัด

เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จะสร้างสารพิษที่ทำให้หลอดเลือดฝอยแตกและเกิดการรั่วของสารน้ำเข้าสู่เนื้อเยื่อ ส่งผลให้เกิดการตกเลือดภายในอวัยวะต่าง ๆ และนำไปสู่อาการรุนแรงตามมา

อาการของโรค

อาการจะเริ่มปรากฏหลังถูกหมัดหนูกัดหรือรับเชื้อภายใน 2–12 วัน และแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะหลัก ได้แก่

  1. กาฬโรคที่ต่อมน้ำเหลือง (Bubonic plague) พบได้บ่อยที่สุด ผู้ป่วยจะไข้หนาวสั่นอย่างฉับพลัน ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเนื้อตัว และมีต่อมน้ำเหลืองโตขนาดไข่ไก่ บวม แดง กดเจ็บ มักพบที่ขาหนีบ รักแร้ คอ ไม่นานก็จะแตกออก เป็นแผล ผู้ป่วยบางรายจะเข้าสู่ภาวะเลือดเป็นพิษหรือปอดอักเสบหลังจากที่มีต่อมน้ำเหลืองโต
  2. กาฬโรคในกระแสโลหิต (Septicemic plague) รุนแรงมาก ผู้ป่วยอาจมีหรือไม่มีต่อมน้ำเหลืองโตมาก่อนก็ได้ อาการจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่เกิน 5 วัน โดยจะมีไข้สูง กระสับกระส่าย ปวดท้อง ท้องเสีย อาเจียน ผู้ป่วยจะอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก ต่อมาจะมีเลือดออกจากปาก จมูก หรือถ่ายเป็นเลือด มีจ้ำเลือดตามผิวหนัง ไม่นานก็จะมีตับม้ามโต ซึม ไม่รู้สติ ความดันโลหิตตก และเกิดเนื้อตาย (gangrene) ที่ปลายนิ้วมือเท้า
  3. กาฬโรคที่ปอด (Pneumonic plague) พบได้น้อยแต่ร้ายแรงที่สุด ติดต่อจากคนสู่คนได้โดยการสูดหายใจเอาละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอออกมาเข้าไป ผู้ป่วยกาฬโรคที่เป็นปอดอักเสบจะมีไข้สูง ไอมีเสมหะปนเลือด อ่อนเพลียอย่างมาก อาการดูจะหนักกว่าภาพรังสีทรวงอก เพียง 1-2 วันก็จะหอบมาก ถ้ารักษาไม่ทันจะเสียชีวิต

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยกาฬโรคทำได้โดยการตรวจหาเชื้อจากตัวอย่างผู้ป่วย ได้แก่

  • เจาะหนองจากต่อมน้ำเหลืองที่โต เพื่อนำมาย้อมและเพาะเชื้อ
  • เพาะเชื้อจากเลือดหรือเสมหะ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งมักใช้เวลา 3–7 วัน

โรคที่ต้องวินิจฉัยแยกโรค ได้แก่ โรคเท้าช้าง (Filariasis), ฝีมะม่วง (Lymphogranuloma venereum) และไข้กระต่าย (Tularemia) ซึ่งมีอาการไข้ฉับพลันและต่อมน้ำเหลืองโตเช่นกัน



การรักษา

เนื่องจากเชื้อเป็นกรัมลบ ยาที่ฆ่าเชื้อกาฬโรคได้ดีคือกลุ่มของ Aminoglycosides เช่น Streptomycin และ Gentamicin สำหรับรายที่ไม่รุนแรงสามารถใช้ Doxycycline หรือ Ciprofloxacin ทานต่อเนื่องประมาณ 7 วันได้

การป้องกัน

แม้จะมีวัคซีนกาฬโรคที่พัฒนาขึ้นและจำหน่ายในบางประเทศ แต่ประสิทธิภาพยังไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ

  • ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลและสวมหน้ากากอนามัยหากเจ็บป่วย
  • รักษาความสะอาดบ้านเรือนเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งอาศัยของหนู
  • ควบคุมจำนวนสัตว์ฟันแทะและกำจัดหมัดที่อาจเป็นพาหะนำโรค

กาฬโรคกับอาวุธชีวภาพ

เชื้อ Yersinia pestis ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Category A bioterrorism agents เนื่องจากมีความสามารถแพร่กระจายได้ง่ายโดยทางอากาศ และก่อให้เกิดอัตราการเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะในรูปแบบกาฬโรคที่ปอด อดีตเคยมีรายงานการนำเชื้อกาฬโรคมาใช้เป็นอาวุธชีวภาพในการทำสงคราม เช่น การปล่อยหมัดหนูที่ติดเชื้อในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หากมีการนำมาใช้ในปัจจุบัน อาจทำให้เกิดการระบาดรุนแรงและควบคุมได้ยาก ดังนั้น กาฬโรคจึงเป็นโรคที่องค์การอนามัยโลกและหน่วยงานด้านความมั่นคงสาธารณสุขให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

สรุป

กาฬโรคเป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงที่เกิดจากเชื้อ Yersinia pestis ติดต่อผ่านหมัดหนูหรือการหายใจเอาละอองจากผู้ติดเชื้อ อาการแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ กาฬโรคที่ต่อมน้ำเหลือง กาฬโรคในกระแสโลหิต และกาฬโรคที่ปอด ซึ่งรูปแบบสุดท้ายมีความรุนแรงและติดต่อได้ง่าย การรักษาที่ได้ผลคือการใช้ยาปฏิชีวนะในกลุ่ม Aminoglycosides หรือยาทางเลือกอื่น เช่น Doxycycline และ Ciprofloxacin การป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการควบคุมสัตว์พาหะและการดูแลสุขอนามัย กาฬโรคยังถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเชื้อที่อาจถูกนำมาใช้เป็นอาวุธชีวภาพ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันอย่างเข้มงวด