โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)
โรคพิษสุนัขบ้า หรือที่เรียกว่า “โรคกลัวน้ำ” เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก เชื้อไวรัสที่ก่อโรคนี้ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ภายนอกร่างกายได้ หากถูกแสงแดดจัด ๆ ก็จะตายทันที เชื้อมักพบในน้ำลายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด ทั้งสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนติดเชื้อ การแพร่เชื้อเกิดจากการถูกกัด ข่วน หรือสัมผัสน้ำลายของสัตว์ที่มีเชื้อผ่านบาดแผล บางสัตว์อาจติดเชื้อโดยไม่แสดงอาการ ทำให้กลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว
อาการของโรค
เมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล จะอยู่บริเวณนั้นประมาณ 4 วัน ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนเข้าสู่สมองทางเส้นประสาท ระยะนี้เรียกว่า “ระยะฟักตัว” ผู้ป่วยยังไม่แสดงอาการใด ๆ ระยะฟักตัวแตกต่างกันมาก ตั้งแต่ 10 วันไปจนถึง 19 ปี แต่โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1-3 เดือน
อาการแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
- ระยะเริ่มต้น: ในช่วง 1-4 วันแรก จะมีไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร และมีอาการชาบริเวณที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย บางรายแม้แผลหายแล้วก็ยังมีอาการชาที่แขนหรือขาข้างเดียวกับบาดแผลเดิม
- ระยะกระวนกระวาย: ผู้ป่วยจะเริ่มกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ สับสน หวาดระแวง มีประสาทหลอน และอาจเกิดอาการชัก ร่างกายทนต่อแสง เสียง และการสัมผัสไม่ได้ จะมีไข้สูง รูม่านตาขยาย น้ำตา น้ำลาย และเหงื่อออกมาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ระยะทรุด: ระยะนี้ก้านสมองจะถูกทำลาย ผู้ป่วยจะมีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกลืน ทำให้กลืนไม่ได้ เรียกว่า “อาการกลัวน้ำ” ร่วมกับอัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้า ประสาทตาอักเสบ เห็นภาพซ้อน ความดันโลหิตต่ำ หยุดหายใจ และเสียชีวิตในที่สุด
การวินิจฉัย
ถ้าได้ประวัติสัตว์กัดโดยเฉพาะสุนัขและแมว ประกอบกับอาการทางคลินิกดังกล่าว มักวินิจฉัยโรคพิษสุนัขบ้าได้ไม่พลาด โดยเฉพาะในประเทศที่ยังมีโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น
การยืนยันแน่นอนต้องตรวจพบเชื้อในเลือด น้ำลาย น้ำไขสันหลัง หรือปัสสาวะ แม้สามารถตรวจทางซีโรโลยีหรือเพาะเชื้อไวรัสได้ แต่ผลมักออกช้าหรือไม่ทันต่อการรักษา
ในผู้เสียชีวิต หากตรวจเนื้อสมองทางพยาธิวิทยาจะพบการอักเสบรอบหลอดเลือด การตายของเซลล์ประสาท และมี Negri body (ก้อนกลมติดสีแดงในเซลล์ประสาท) ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของสมองอักเสบจากไวรัส แม้ไม่จำเพาะเจาะจงเฉพาะโรคพิษสุนัขบ้า
ในผู้ป่วยที่ไม่มีประวัติถูกสัตว์กัด ระยะแรกอาจต้องแยกโรคจากโรคไข้สมองอักเสบจากไวรัสอื่น โรคบาดทะยัก หรือโรคฮีสทีเรีย แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการของพิษสุนัขบ้าจะชัดเจนขึ้น
การรักษา
ปัจจุบันยังไม่มียารักษาเฉพาะสำหรับโรคนี้ การรักษาทำได้เพียงแบบประคับประคองเพื่อบรรเทาอาการ แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเสียชีวิต อัตราการตายเกือบ 100%
พยากรณ์โรค
โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตเกือบ 100% เมื่อเริ่มแสดงอาการแล้ว ไม่มียารักษาที่ได้ผล การป้องกันจึงเป็นทางออกเดียวในการลดการเสียชีวิต หากได้รับวัคซีนและภูมิคุ้มกันทันเวลา มีโอกาสรอดสูงมาก แต่หากปล่อยปละละเลย ความเสี่ยงเสียชีวิตแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
วิธีป้องกัน
การป้องกันมีความสำคัญสูงสุด โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
- บุคคลทั่วไป: หากถูกสัตว์กัดหรือข่วน ควรรีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที จากนั้นเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า และวัคซีนบาดทะยัก หากสัตว์ที่กัดมีอาการพิษสุนัขบ้า ควรได้รับการฉีด antirabies serum หรือ antirabies immunoglobulin เพิ่มเติม
- กลุ่มเสี่ยง: ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสัตว์หรือเชื้อ เช่น สัตวแพทย์ และนักวิจัย ควรได้รับวัคซีนป้องกันล่วงหน้าเป็นประจำ
- สัตว์เลี้ยง: ควรพาสุนัขและแมวไปฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการแพร่เชื้อสู่คน
สรุป
โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคร้ายแรง ติดต่อจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสู่คน ผ่านการกัดหรือสัมผัสน้ำลาย เชื้อไวรัสจะทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ส่งผลให้เกิดอาการตั้งแต่ไข้และชาบริเวณแผล จนถึงกระสับกระส่าย กลัวน้ำ และเสียชีวิตในที่สุด ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาเฉพาะ อัตราการตายเกือบ 100% ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ทั้งการฉีดวัคซีนให้สัตว์เลี้ยง การฉีดวัคซีนให้บุคคลเสี่ยง และการเข้ารับการรักษาทันทีเมื่อถูกสัตว์กัด