โรคลำไส้อักเสบจากโรต้าไวรัส (Rotaviral enteritis)

ไวรัสที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วงมีหลายชนิด โดยที่พบได้บ่อยที่สุดคือ โรต้าไวรัส (Rotavirus) ซึ่งทำให้เกิดโรคในทารกและเด็กเล็ก อีกชนิดหนึ่งคือ Norwalk-like virus ที่บางครั้งก่อให้เกิดการระบาดของอุจจาระร่วงในโรงเรียน แต่พบไม่บ่อย

โรคท้องร่วงจากโรต้าไวรัสพบได้ตลอดทั้งปี แต่จะพบมากในฤดูหนาว เนื่องจากเชื้อทนต่ออากาศเย็นได้ดีกว่า มักเกิดในเด็กอายุ 6 เดือน – 2 ปี และพบได้น้อยมากในผู้ที่อายุมากกว่า 6 ปี จากข้อมูลพบว่าประมาณครึ่งหนึ่งของเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปีที่มีอาการท้องร่วง เกิดจากเชื้อโรต้าไวรัส

อาการของโรค

เด็กมักได้รับเชื้อไวรัสจากอาหารหรือน้ำดื่มที่ไม่สะอาด โรคมีระยะฟักตัว 24-48 ชั่วโมง โดยมักเริ่มจากมีไข้และอาเจียนล่วงหน้าประมาณ 1 วัน ก่อนจะมีอาการท้องร่วง ถ่ายเหลวเป็นน้ำ ลักษณะคล้ายโรคอหิวาตกโรคในผู้ใหญ่ แต่ระยะของการถ่ายจะสั้นกว่าคือประมาณ 1-3 วัน

ความสำคัญของโรคนี้อยู่ที่เด็กเล็กสามารถสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในปริมาณมากภายในเวลาเพียง 1-2 วัน หากไม่ได้รับการชดเชยน้ำและเกลือแร่อย่างเพียงพอ อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำรุนแรงและเป็นอันตรายได้

การวินิจฉัย

โรคนี้สามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจหาแอนติเจนของเชื้อโรต้าไวรัสในอุจจาระ



การรักษา

หลักการรักษาคือการชดเชยน้ำและเกลือแร่ให้ทันเวลา โดยในรายที่รุนแรงควรได้รับน้ำเกลือทางหลอดเลือดดำที่โรงพยาบาล แต่หากไม่สามารถไปโรงพยาบาลได้ สามารถเตรียมน้ำเกลือแร่ดื่มเองได้ โดยใช้น้ำสะอาด 1 ลิตร ผสมเกลือแกง 1 ช้อนชา และน้ำตาลทราย 8 ช้อนชา เพื่อให้รสชาติดีขึ้น เด็กควรดื่มทุกครั้งที่ถ่าย โดยปริมาณที่ดื่มควรใกล้เคียงหรือมากกว่าปริมาณอุจจาระที่ถ่ายออกไป

ในระหว่างที่มีอาการท้องเสีย ควรหลีกเลี่ยงการดื่มนมชั่วคราว จนกว่าอาการจะดีขึ้น

การป้องกัน

การป้องกันที่ได้ผลคือการให้ วัคซีนโรต้า ชนิดรับประทาน ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้อย่างมาก หรือหากติดเชื้อก็จะช่วยให้มีอาการเบาลง เด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือนที่มีภูมิคุ้มกันปกติสามารถรับวัคซีนนี้ได้ 2-3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีน โดยแต่ละครั้งควรห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์ และไม่ควรให้พร้อมกับวัคซีนโปลิโอชนิดรับประทาน ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 14 วัน

สรุป

โรคลำไส้อักเสบจากโรต้าไวรัสเป็นสาเหตุสำคัญของอาการท้องร่วงในเด็กเล็ก โดยเฉพาะอายุ 6 เดือน – 2 ปี อาการเด่นคือไข้ อาเจียน และถ่ายเหลวเป็นน้ำ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำรุนแรงได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม การรักษาหลักคือการชดเชยน้ำและเกลือแร่ ส่วนการป้องกันที่ดีที่สุดคือการให้วัคซีนโรต้าในวัยทารก ซึ่งช่วยลดอัตราการป่วยและความรุนแรงของโรคได้อย่างมาก