โรคหัดเยอรมันแต่กำเนิด (Congenital rubella)
โรคหัดเยอรมันแต่กำเนิดพบมากที่สุดเมื่อมารดาติดเชื้อหัดเยอรมันในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ความเสี่ยงต่อทารกขึ้นอยู่กับอายุครรภ์ที่มารดาติดเชื้อ หากติดเชื้อในเดือนแรก ความเสี่ยงที่ทารกจะเป็นโรคหัดเยอรมันแต่กำเนิดสูงถึงร้อยละ 60-100 หากติดเชื้อในเดือนที่สอง ความเสี่ยงลดลงเหลือร้อยละ 33-40 และหากติดเชื้อในเดือนที่สาม ความเสี่ยงอยู่ที่เพียงร้อยละ 5-10
ผลกระทบต่อทารกมีได้หลายแบบ ตั้งแต่แท้ง ตายคลอด คลอดออกมาแล้วพิการ ไปจนถึงคลอดออกมาเป็นปกติ
อาการของโรค
เด็กที่เป็นโรคหัดเยอรมันแต่กำเนิดมักมีความผิดปกติร่วมกันหลายระบบ โดยพบได้บ่อยที่สุดคือ ต้อกระจก หูหนวก และโรคหัวใจหรือหลอดเลือดใหญ่พิการ เนื่องจากอวัยวะเหล่านี้เจริญเติบโตในช่วงเวลาเดียวกัน ไวรัสจึงไปรบกวนการสร้างและพัฒนาของอวัยวะ นอกจากนี้ยังอาจพบภาวะปัญญาอ่อนร่วมด้วย
ความผิดปกติอื่นที่อาจพบในช่วงแรกเกิด ได้แก่ เกร็ดเลือดต่ำ ตับและม้ามโต หรือความผิดปกติของกระดูกที่เห็นจากเอ็กซเรย์ โดยอาการเหล่านี้มักค่อย ๆ หายไปหลังอายุ 6 เดือนขึ้นไป
การวินิจฉัย
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคหัดเยอรมันแต่กำเนิดมี 2 ประเภท คือ
เกณฑ์วินิจฉัยทางคลินิก ต้องมีอาการอย่างน้อย 2 ข้อจากกลุ่ม ก. หรือมี 1 ข้อจากกลุ่ม ก. ร่วมกับ 1 ข้อจากกลุ่ม ข.
ก. ต้อกระจก การได้ยินบกพร่อง โรคหัวใจแต่กำเนิด (เช่น PDA, peripheral pulmonic stenosis, ASD, VSD) ต้อหินแต่กำเนิด หรือความผิดปกติของกระดูกจากเอ็กซเรย์
ข. จ้ำเลือดที่ผิวหนัง ตับม้ามโต ตัวเหลืองในระยะแรกเกิด ศีรษะเล็ก หรือปัญญาอ่อน
เกณฑ์วินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ การเพาะเชื้อไวรัสหัดเยอรมันได้จากอวัยวะที่ผิดปกติภายใน 4 สัปดาห์แรกหลังคลอด หรือ มีหลักฐานทางซีโรโลยีอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
- พบระดับ HI แอนติบอดีสูงชัดเจนเมื่อเด็กอายุ 6-11 เดือน (เนื่องจากภูมิคุ้มกันจากแม่หมดไปแล้ว หากยังมีระดับสูงแสดงว่าเด็กสร้างขึ้นเอง)
- ตรวจพบ rubella-specific IgM antibody ในทารกตั้งแต่แรกเกิด (เพราะ IgM ไม่สามารถผ่านรกจากแม่ได้)
การรักษา
แม้ไม่สามารถแก้ไขความผิดปกติทุกอย่างได้ แต่ความพิการหลายชนิดรักษาได้ เช่น การผ่าตัดแก้ไขต้อกระจก ต้อหิน และโรคหัวใจแต่กำเนิด การสูญเสียการได้ยินสามารถบรรเทาได้ด้วยเครื่องช่วยฟัง การทำอรรถบำบัด (speech therapy) หรือการผ่าตัดเฉพาะด้าน
การป้องกัน
หญิงตั้งครรภ์ที่สัมผัสผู้ป่วยหัดเยอรมัน ควรตรวจเลือดหา HI antibody ทันที
- หากผลเป็นบวก แสดงว่ามีภูมิคุ้มกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องรักษา
- หากผลเป็นลบ:
- ถ้าอยู่ในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์และไม่สามารถทำแท้งได้ ให้ฉีด gamma globulin 20-30 มล. เข้ากล้ามเนื้อ แม้ไม่สามารถป้องกันได้เต็มที่ แต่ดีกว่าไม่ป้องกันเลย
- ถ้าอยู่ในไตรมาสแรกและสามารถทำแท้งได้ ควรตรวจ HI antibody ซ้ำอีกครั้งใน 2-3 สัปดาห์ หากผลเป็นบวก ควรพิจารณาเรื่องการยุติการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะหากติดเชื้อในเดือนแรก ถือเป็นข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
หากเจาะเลือดครั้งแรกหลังสัมผัสเกิน 1 สัปดาห์ หรือเริ่มมีอาการสงสัยแล้ว ผลแอนติบอดีที่เป็นบวกอาจหมายถึงภูมิคุ้มกันเก่าหรือการติดเชื้อใหม่ จำเป็นต้องตรวจซ้ำในอีก 1-2 สัปดาห์ หากพบระดับแอนติบอดีเพิ่มขึ้น แสดงว่าเป็นการติดเชื้อใหม่ แต่หากไม่เพิ่มขึ้น แสดงว่าเป็นภูมิคุ้มกันเดิม ซึ่งสามารถป้องกันโรคได้ตลอดชีวิต
พยากรณ์โรค
ทารกที่เป็นโรคหัดเยอรมันแต่กำเนิดมักเผชิญกับภาวะพิการเรื้อรัง เช่น หูหนวก ความผิดปกติของตา หัวใจ หรือพัฒนาการทางสมองล่าช้า ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตระยะยาว ภาวะเกร็ดเลือดต่ำ ตับม้ามโต หรือความผิดปกติของกระดูกมักหายไปเมื่อเด็กโตขึ้น แต่ความพิการถาวร เช่น หูหนวกและต้อกระจก จะคงอยู่ การรักษาประคับประคองช่วยลดผลกระทบและเพิ่มโอกาสการใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติได้บ้าง แต่หากมารดาติดเชื้อในระยะแรกของการตั้งครรภ์ พยากรณ์โรคโดยรวมของทารกจะไม่ดีนัก
สรุป
โรคหัดเยอรมันแต่กำเนิดเป็นโรคที่เกิดจากมารดาติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรก ทำให้ทารกมีความเสี่ยงสูงต่อการพิการแต่กำเนิดหลายระบบ ทั้งตา หู หัวใจ และสมอง การวินิจฉัยทำได้จากอาการแสดง ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การรักษามุ่งเน้นที่การแก้ไขความพิการเฉพาะด้านและการบำบัดฟื้นฟู การป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนในหญิงวัยเจริญพันธุ์ และการเฝ้าระวังหญิงตั้งครรภ์ที่สัมผัสผู้ป่วยหัดเยอรมัน เพื่อป้องกันการเกิดโรคหัดเยอรมันแต่กำเนิดในทารก