โรคหิด (Scabies, Scabiasis)

โรคหิดเกิดจากตัวหิด ซึ่งเป็นไรขนาดเล็กมาก ประมาณ 0.2–0.4 มม. รูปร่างกลม หลังนูน ท้องแบน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Sarcoptes scabies ตัวอ่อนมี 6 ขา ส่วนตัวเต็มวัยมี 8 ขา ตัวเมียหลังผสมพันธุ์จะขุดโพรงอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง (ชั้น stratum corneum) และวางไข่วันละ 1–3 ฟอง จนครบ 25-30 ฟองก็จะตายไป ไข่ใช้เวลาฟัก 3–4 วัน กลายเป็นตัวอ่อน และเจริญในรูขุมขนจนโตเต็มวัยภายใน 2 สัปดาห์ โดยอาศัยเลือดและของเหลวจากผิวหนังเป็นอาหาร ตัวหิดสามารถมีชีวิตอยู่นอกร่างกายคนได้ราว 3 วัน

โรคหิดติดต่อได้ง่ายโดยการสัมผัสหรือใช้ของร่วมกัน และมักพบเป็นพร้อมกันหลายคนในบ้าน บางครั้งอาจระบาดตามวัด โรงเรียน โรงงาน หรือค่ายทหาร ปัจจัยที่ส่งเสริมการแพร่ระบาด ได้แก่ ความยากจน ความสกปรก และการอยู่แออัด นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ โดยมักทำให้เกิดตุ่มคันบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ จึงถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งได้เช่นกัน

อาการของโรค

ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจากตัวหิดเจาะเข้าสู่ผิวหนัง จะปล่อยของเสียและสารพิษออกมา ทำให้เกิดอาการผื่นนูนแดง ตุ่มน้ำใส และร่องเล็ก ๆ คดเคี้ยวจากการขุดเจาะ พบได้บ่อยที่ง่ามนิ้วมือ นิ้วเท้า ข้อมือ ข้อศอก รักแร้ รอบหัวนม รอบสะดือ ก้น ข้อเท้า และอวัยวะสืบพันธุ์ ในเด็กเล็กอาจพบที่ใบหน้าและศีรษะ อาการเด่นชัดคือคันมาก โดยเฉพาะตอนกลางคืน ผู้ป่วยมักเกาจนเกิดแผลตกสะเก็ด และอาจติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนจนกลายเป็นตุ่มหนองได้ แผลมักคงอยู่เป็นเวลานานหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง

ผื่นของหิดอีกชนิดหนึ่งมีลักษณะเป็นตุ่มเนื้อ นูน สีแดงอมน้ำตาล คัน มักพบบริเวณรักแร้และอวัยวะเพศ มักไม่พบตัวหิดในผื่นชนิดนี้ และหลังการรักษาหิดหายแล้วผื่นนี้จะยังคงอยู่ต่อไปได้

ในผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ตัวหิดสามารถเพิ่มจำนวนได้มากผิดปกติ ทำให้เกิดผื่นมีสะเก็ดหนาแห้ง (crusted scabies) ภายในสะเก็ดมีตัวหิดอยู่อย่างหนาแน่น และแพร่เชื้อไปสู่ผู้ดูแลได้ง่าย

การวินิจฉัยโรค

จากประวัติที่เป็นตุ่มคันเรื้อรังหลายคนในบ้าน และตรวจร่างกายพบผื่นที่มีลักษณะจำเพาะดังกล่าวก็สามารถวินิจฉัยหิดได้แล้ว โดยเฉพาะเมื่อพบรอยโรคที่เห็นเป็นเส้นเล็ก ๆ คดเคี้ยวที่ง่ามนิ้ว ซึ่งเรียกว่า อุโมงค์หิด กรณีที่รอยโรคไม่ชัด การหา อุโมงค์หิด ทำได้ง่ายด้วยการหยดหมึกลงบนรอยโรคแล้วเช็ดหมึกส่วนเกินออก จะพบหมึกค้างอยู่ในร่องอุโมงค์

แต่การวินิจฉัยที่แน่ชัดต้องทำการ ขุดอุโมงค์ ให้ได้ตัวหิดหรือไข่หิดนำมาตรวจดูลักษณะด้วยกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งไม่ค่อยนิยมทำกัน หากแพทย์สงสัยโรคหิดมากแต่ไม่พบตัวหิดในการตรวจ แพทย์อาจให้การรักษาด้วยยาจำเพาะต่อโรคหิด แล้วนัดมาติดตามอาการ

สิ่งที่ต้องพิจารณาร่วมคือการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หากพบตุ่มหนองหรือแผลติดเชื้อ ต้องให้การรักษาควบคู่กัน



การรักษา

ยาที่ใช้รักษาหิดมีทั้งแบบยาทาและยารับประทาน

ยาทา: เช่น 1% Benzene hexachloride, 20–25% Benzyl benzoate, 5% Permethrin, 5–15% Sulfur in petrolatum, 10% Crotamiton, 1% Lindane วิธีใช้คืออาบน้ำและเช็ดตัวให้แห้งก่อน จากนั้นทายาทั่วทั้งตัว (ไม่ใช่เฉพาะบริเวณที่มีผื่น) ทาซ้ำอีกครั้งหลัง 24 ชั่วโมง และคงยาไว้จนถึง 48 ชั่วโมง จึงอาบน้ำใหม่และเปลี่ยนเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว และเครื่องนอน หากอาการยังไม่หายให้ทำซ้ำอีกครั้งหลัง 1 สัปดาห์

ยาพิเศษ: 5–15% Sulfur เป็นยาที่ปลอดภัยสำหรับเด็กอายุน้อยกว่า 2 เดือน หญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร ข้อเสียคือมีกลิ่นแรงและเหนียวเหนอะหนะ

ยารับประทาน: Ivermectin ขนาด 200 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม รับประทานขณะท้องว่างอย่างน้อย 2 ครั้ง ห่างกัน 1 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนด้านความปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์ และเด็กที่น้ำหนักน้อยกว่า 15 กิโลกรัม

ข้อควรร่วม: ควรรักษาทุกคนในบ้านที่มีอาการหรือสงสัยติดเชื้อไปพร้อมกัน เพื่อป้องกันการติดซ้ำ และซักล้างเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว และเครื่องนอนทุกวันจนกว่าจะหาย ห้ามใช้ของร่วมกับผู้อื่น ผู้ป่วยควรตัดเล็บสั้นและหลีกเลี่ยงการเกาเพื่อลดการแพร่เชื้อ

หลังการรักษา อาการคันอาจยังคงอยู่ได้อีก 2–3 สัปดาห์ เนื่องจากเป็นปฏิกิริยาต่อโปรตีนและมูลของหิด การประเมินว่าหายแล้วให้ดูว่ามีรอยโรคใหม่เกิดขึ้นหรือไม่แทน

หากมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ต้องให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย โดยในเด็กควรใช้ยานานประมาณ 10 วัน

การป้องกัน

- ซักทำความสะอาดเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน และสิ่งของเครื่องใช้เป็นประจำ
- รักษาความสะอาดบ้านเรือนและเฟอร์นิเจอร์ ไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของไร เห็บ หรือแมลง
- ผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียงควรสวมถุงมือยางเมื่อต้องสัมผัส และล้างทำความสะอาดร่างกายทุกครั้งหลังดูแลผู้ป่วย

สรุป

โรคหิดเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากไรขนาดเล็ก ติดต่อได้ง่ายทั้งทางสัมผัสตรงและการใช้สิ่งของร่วมกัน อาการสำคัญคือคันมาก โดยเฉพาะตอนกลางคืน และมักพบรอยโรคตามง่ามนิ้ว ข้อมือ รักแร้ และอวัยวะเพศ การรักษาต้องใช้ยาฆ่าหิดทั้งแบบทาและแบบรับประทาน รวมถึงรักษาทุกคนในครอบครัวพร้อมกันเพื่อป้องกันการติดซ้ำ การป้องกันทำได้โดยการรักษาความสะอาด ซักเสื้อผ้าและเครื่องนอนอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่น หากรักษาถูกวิธีโรคหิดสามารถหายขาดได้ แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจมีการติดเชื้อแทรกซ้อนและแพร่ระบาดได้ง่าย