ไข้อีดำอีแดง (Scarlet fever)
โรคไข้ออกผื่นแดงในเด็กโดยทั่วไปเกิดจากเชื้อไวรัส แต่ไข้อีดำอีแดงนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Streptococcus pyogenes หรือที่เรียกกันเต็มยศว่า β-hemolytic streptococcus group A ซึ่งเป็นเชื้อที่พบตามปกติในคอหอย ทอนซิล และผิวหนังของคน มีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่ทำให้เกิดโรค บางครั้งเชื้อก่อโรคอาจเป็นแบคทีเรียพวก Staphylococcus aureus ซึ่งมาจากแผลผ่าตัด จึงเรียกกันว่า surgical scarlet fever หรือ staphylococcal scarlet fever ซึ่งมีลักษณะการลอกของผื่นเมื่อโรคหายแล้วต่างออกไปเล็กน้อย
ไข้อีดำอีแดงนี้เป็นโรคที่พบในเด็กอายุระหว่าง 2-8 ปี ติดต่อกันง่ายผ่านทางการไอ จาม รดกัน และการสัมผัสกับแผลที่ติดเชื้อโดยตรง โดยตัวโรคเองไม่มีความรุนแรง แต่ปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันต่อสารพิษของเชื้ออาจทำให้เกิดโรคไข้รูห์มาติกหรือโรคหน่วยไตอักเสบตามมาซึ่งรุนแรงกว่า
อาการของโรค
ไข้อีดำอีแดงมีระยะฟักตัวประมาณ 2-4 วัน อาการเริ่มจากมีไข้สูงฉับพลัน ปวดศีรษะ ปวดเนื้อตัว และเจ็บคอมากจนกลืนอะไรไม่ค่อยได้ (ถ้าแหล่งของการติดเชื้อไม่ได้อยู่ที่ทอนซิล จะไม่เจ็บคอ แต่จะมีแผลที่ผิวหนังแทน) จากนั้นภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังมีไข้ จะออกผื่นเป็นจุดแดงเล็ก ๆ โดยเริ่มจากที่คอและอก แล้วกระจายไปทั่วตัวและแขนขาอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อเอามือลูบผิวหนังที่เป็นผื่นจะรู้สึกเหมือนลูบกระดาษทราย (sandpaper rash) ผื่นมักเว้นช่องว่างโดยรอบของปาก (circumoral pallor) ที่ข้อพับอาจพบเส้นเลือดฝอยแตกเป็นเส้นแดง ๆ พาดตามขวางหลายเส้น (Pastia’s lines) ซึ่งคงอยู่ต่ออีก 1-2 วันหลังผื่นจาง
ใน 1-2 วันแรก ลิ้นมีจุดแดงเล็ก ๆ คล้ายผลสตรอเบอรี่ที่ยังไม่สุก (white strawberry tongue) ต่อมาเมื่อเข้าสู่วันที่ 4-5 ลิ้นและคอแดงจัดคล้ายสตรอเบอรี่สุกเต็มที่ (red strawberry tongue) ทอนซิลบวมแดง มีจุดหนองสีขาว อาจคลำได้ต่อมน้ำเหลืองที่ข้างลำคอโตด้วย
ผื่นจะเริ่มจางหายไปในวันที่ 6 ของโรค จากนั้นผิวจะลอกเป็นแผ่นบาง ๆ ในสัปดาห์ที่ 2-3 คล้ายหนังลอกเวลาที่ไปอาบแดดตอนที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด การลอกออกจนหมดอาจใช้เวลานานถึง 6 สัปดาห์ กรณีที่เป็น staphylococcal scarlet fever การลอกของผิวหนังจะเกิดขึ้นเร็วตั้งแต่สัปดาห์แรก และจะลอกออกเป็นแผ่นใหญ่ ๆ
ภาวะแทรกซ้อน
หากไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
- ระยะสั้น เช่น ฝีของต่อมอดีนอยด์ ปอดอักเสบ ไซนัสอักเสบ หูอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- ระยะยาว เช่น ไข้รูห์มาติก หน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน ตับอักเสบ หรือกระดูกและข้ออักเสบ
การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนิซิลลินอย่างต่อเนื่อง 10 วัน ช่วยลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมาก
การวินิจฉัยโรค
ควรสงสัยไข้อีดำอีแดงในเด็กที่มีไข้ เจ็บคอ ทอนซิลอักเสบเป็นหนอง และมีผื่นแดงทั่วตัว การวินิจฉัยแน่ชัดทำได้โดยเพาะเชื้อสเตรปโตคอคคัสกรุ๊ปเอจากคอหอยหรือแผลติดเชื้อ การสังเกตการดำเนินโรคของผื่นก็ช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยได้เช่นกัน
การตรวจเลือดอาจพบเม็ดเลือดขาวสูงในสัปดาห์แรก และอีโอสิโนฟิลสูงในสัปดาห์ที่สอง การตรวจ ASO titer มีประโยชน์ในรายที่ไม่สามารถเก็บตัวอย่างเพาะเชื้อได้ เช่น แผลแห้ง หรือกรณีที่ผู้ป่วยเกิดโรคแทรกซ้อนอย่างไข้รูห์มาติกหรือไตอักเสบ โดยระดับ ASO จะสูงสุดในสัปดาห์ที่ 3-4 แล้วค่อย ๆ ลดลง
นอกจากนี้ ต้องวินิจฉัยแยกโรคออกจากโรคผื่นแดงจากไวรัส เช่น โรคหัด, โรคฟิฟธ์, โมโนนิวคลีโอสิส และโรคคาวาซากิ
การรักษา
ไข้อีดำอีแดงรักษาง่ายด้วยยารับประทานติดต่อกันทั้งหมด 10 วัน นิยมใช้ยาเพนิซิลลิน (Penicillin) หรืออีริโธรมัยซิน (Erythromycin) ขนาด 250 มก. วันละ 4 ครั้ง ยาลดไข้และยาแก้อาการคันจากผื่นจะช่วยให้เด็กสบายตัวขึ้น ที่สำคัญควรให้เด็กพักผ่อนอยู่กับบ้าน เพื่อไม่ให้กระจายโรคไปสู่เด็กคนอื่น ไข้จะลดภายใน 12-24 ชั่วโมงหลังเริ่มยา เด็กจะรู้สึกว่าหายแล้ว และอยากวิ่งเล่นเมื่อทานยาไปได้ 4-5 วัน แต่ผู้ปกครองควรย้ำให้เด็กทานยาให้ครบกำหนด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงต่อไป
ผื่นที่กำลังลอกไม่ควรขัดให้มันหลุดออกเร็ว ๆ ควรปล่อยให้มันหลุดออกเองตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์
พยากรณ์โรค
ผู้ป่วยไข้อีดำอีแดงที่ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้องมักหายได้โดยไม่เกิดผลแทรกซ้อน อาการไข้และผื่นจะทุเลาลงอย่างรวดเร็ว และผิวที่ลอกจะหายสนิทภายในไม่กี่สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รักษาหรือหยุดยาก่อนกำหนด อาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในระยะยาว เช่น ไข้รูห์มาติกหรือหน่วยไตอักเสบ
การป้องกัน
- แยกผู้ป่วยออกจากเด็กคนอื่นจนกว่าจะรับยาปฏิชีวนะครบอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- ฝึกสุขอนามัยที่ดี เช่น ล้างมือบ่อย ๆ ปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจาม
- ไม่ใช้แก้วน้ำ ช้อนส้อม ผ้าเช็ดตัว หรือของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
- หากเด็กในบ้านมีอาการเจ็บคอหรือมีผื่น ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาเร็วที่สุด
สรุป
ไข้อีดำอีแดงเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อยในเด็ก ติดต่อได้ง่าย และแม้ตัวโรคเองจะไม่รุนแรงมาก แต่สามารถก่อภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้หากไม่ได้รับการรักษา การให้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้องช่วยให้หายขาดและป้องกันผลแทรกซ้อนในระยะยาวได้ การดูแลสุขอนามัยและการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยควบคุมการระบาดของโรคนี้