โรคพยาธิใบไม้ชิสโตโซม (Schistosomiasis)
โรคพยาธิใบไม้ชิสโตโซม เป็นโรคติดเชื้อจากพยาธิใบไม้ที่สร้างความรุนแรงต่อมนุษย์มากกว่าพยาธิชนิดอื่น ๆ เพราะตัวอ่อน (เซอร์คาเรีย) สามารถไชผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง พยาธิตัวแก่จะอาศัยอยู่ในหลอดเลือดดำภายในช่องท้อง ไข่พยาธิถูกขับออกมากับอุจจาระหรือปัสสาวะ (ขึ้นกับสายพันธุ์) เมื่อไข่ลงน้ำจะฟักออกเป็นตัวอ่อน เข้าไปเจริญเติบโตในหอยจนถึงระยะเซอร์คาเรีย แล้วกลับออกมาอยู่ในน้ำอีกครั้ง เมื่อคนหรือสัตว์สัมผัสน้ำ เซอร์คาเรียจะไชผ่านผิวหนังเข้าสู่หลอดเลือด → เดินทางไปตับและเจริญเป็นตัวแก่ → ย้ายไปยังหลอดเลือดในช่องท้อง → ออกไข่ → ไข่ถูกขับออกมากับอุจจาระหรือปัสสาวะ
อาการของโรค
อาการแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะสำคัญ ได้แก่
- ระยะเซอร์คาเรียไชเข้าสู่ผิวหนังและเดินทางไปตับ
เมื่อเซอร์คาเรียไชเข้าสู่ผิวหนัง จะเกิดตุ่มแดง คัน หรือผื่นลมพิษ ซึ่งหายได้เองใน 2–3 วัน ก่อนเข้าสู่กระแสเลือดไปที่ปอด ผู้ป่วยอาจมีอาการคล้ายหลอดลมอักเสบเล็กน้อย จากนั้นพยาธิจะเข้าสู่หลอดเลือดดำปอร์ตั้ลและเจริญเป็นตัวอ่อน ระยะนี้ผู้ป่วยบางรายอาจมีไข้ จุกแน่นยอดอก หน้าบวม ลมพิษ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือเจ็บบริเวณตับ ในรายที่รุนแรง (โดยเฉพาะสายพันธุ์ Schistosoma japonicum) อาจมีอาการซึม หมดสติ หรือเป็นอัมพาต ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2 เดือน
- ระยะพยาธิตัวแก่ออกไข่ในหลอดเลือดดำช่องท้อง
พยาธิที่เจริญเต็มที่จะอาศัยอยู่ในหลอดเลือดดำ เช่น superior mesenteric, inferior mesenteric และหลอดเลือดดำอุ้งเชิงกราน พยาธิตัวเมียจะออกไข่อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต (อาจยาวนานถึง 30 ปี) ไข่ซึ่งมีเงี่ยงเล็ก ๆ จะฝังทะลุผนังลำไส้และกระเพาะปัสสาวะ ทำให้เกิดแผลและหนอง ผู้ป่วยจึงมีอาการถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด หรือปัสสาวะเป็นเลือด ไข่บางส่วนถูกพัดกลับไปที่ตับ ทำให้เกิดการอุดตันหลอดเลือดดำปอร์ตั้ล ตับและม้ามโต ร่างกายตอบสนองต่อโปรตีนของไข่พยาธิ ทำให้เกิดไข้ ลมพิษ และมีค่าอีโอซิโนฟิลในเลือดสูง
- ระยะซ่อมแซมและเกิดแผลเป็น
ร่างกายจะซ่อมแซมแผลที่เกิดขึ้น โดยผนังลำไส้และกระเพาะปัสสาวะหนาขึ้น อาจเกิดติ่งเนื้อหรือพังผืด หากหลอดเลือดดำปอร์ตั้ลถูกอุดกั้นเป็นเวลานานจะทำให้เกิดตับแข็ง ผู้ป่วยมีอาการท้องมาน ตัวบวม ตัวเหลือง และถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยสามารถทำได้โดยตรวจพบไข่ของพยาธิในอุจจาระหรือปัสสาวะ ซึ่งถือเป็นวิธีที่ชัดเจน หากไม่พบแต่มีอาการและประวัติที่สงสัย อาจใช้การตรวจทางซีโรโลยีช่วยยืนยันทางอ้อม
การรักษา
ยาที่ใช้รักษาได้ผลคือ Praziquantel สำหรับพยาธิใบไม้ในเลือดทุกสายพันธุ์ ยกเว้น Schistosoma makongi ที่ยังไม่มียารักษา ขนาดยาที่แนะนำคือ 75 มก./กก. แบ่งให้ 3 ครั้ง ภายใน 1 วัน
พยากรณ์โรค
หากได้รับการรักษาด้วยยา Praziquantel อย่างเหมาะสม ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายขาดและกลับมามีสุขภาพแข็งแรงได้ อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รับการรักษา โรคอาจดำเนินไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ตับแข็ง ม้ามโต ความดันหลอดเลือดดำพอร์ทัลสูง หรือมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ โดยเฉพาะในสายพันธุ์ Schistosoma haematobium ดังนั้น พยากรณ์โรคจึงขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการวินิจฉัยและการรักษา รวมถึงการป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
วิธีป้องกัน
ควรหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำหรือเล่นน้ำในแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด ไม่ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะลงแหล่งน้ำ และควรตรวจรักษาผู้ที่มีไข่พยาธิในอุจจาระหรือปัสสาวะทุกคน แม้ยังไม่ปรากฏอาการ เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
สรุป
โรคพยาธิใบไม้ชิสโตโซม เป็นโรคพยาธิที่มีผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ และตับอย่างรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิต การวินิจฉัยทำได้โดยตรวจหาไข่พยาธิในอุจจาระหรือปัสสาวะ และการรักษาด้วย Praziquantel ถือว่ามีประสิทธิภาพสูง การป้องกันที่สำคัญคือการหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อน การรักษาผู้ติดเชื้อทุกราย และการจัดการสุขาภิบาลในชุมชน เพื่อหยุดการแพร่กระจายของโรค