โรคข้ออักเสบจากการติดเชื้อ (Septic arthritis)
ข้ออักเสบอาจเกิดจากการบาดเจ็บ, การติดเชื้อ, ปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน, โรคเก๊าท์, หรือความเสื่อมของข้อจากอายุและการใช้งาน ในหน้านี้จะกล่าวถึงแต่เฉพาะโรคข้ออักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อเท่านั้น
การติดเชื้อของข้ออาจเกิดได้จากทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อวัณโรค เชื้อรา และเชื้ออื่น ๆ แต่ที่พบบ่อยที่สุดคือจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมักทำให้เกิดข้ออักเสบแบบเฉียบพลัน และพบในคนปกติทั่วไป ถ้าเป็นสาเหตุจากเชื้ออื่นอาการมักเป็นแบบเรื้อรัง และพบในผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานบกพร่อง หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคข้อเรื้อรังอยู่ก่อน
ข้ออักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียยังแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
- ข้ออักเสบจากเชื้อหนองใน (Gonococcal arthritis) ติดมาจากกามโรค แล้วเชื้อเข้าสู่ข้อทางกระแสเลือด
- ข้ออักเสบจากเชื้อแบคทีเรียทั่วไป (Pyogenic arthritis) ในประเทศไทยพบกลุ่มนี้มากกว่า และร้อยละ 60 ยังพบในคนอายุน้อยกว่า 20 ปี เชื้อที่พบบ่อยที่สุดคือ Staphylococcus aureus รองลงมาคือ Streptococcus spp., N. meningitidis, Salmonella spp., E. coli, B. pseudomallei, ในเด็ก 1-2 ขวบ อาจพบ H. influenzae เชื้อเหล่านี้เข้าสู่ข้อทางกระแสเลือดหลังมีบาดแผลหรือการติดเชื้อของระบบอื่น, ทางการติดเชื้อที่ลุกลามมาจากกระดูกหรือเนื่อเยื่อข้างเคียง, และทางบาดแผลที่โดนเข้าข้อโดยตรง
อาการของโรค
อาการหลักจะเหมือนกับข้ออักเสบโดยทั่วไป คือ ปวด บวม แดง ร้อน บริเวณรอบ ๆ ข้อ กดเจ็บตรงส่วนที่บวมสุด ขยับข้อนั้นไม่ได้ และอาจมีไข้หนาวสั่นร่วมด้วย ถ้าเป็นจากกลุ่มของแบคทีเรียอาการจะเป็นไม่เกิน 6 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มักต้องไปพบแพทย์ตั้งแต่สัปดาห์แรกเพราะปวดมาก เรียกว่ามีอาการแบบเฉียบพลัน
ข้ออักเสบจากเชื้อหนองใน มักเป็นหลายข้อพร้อม ๆ กันหรือในระยะเวลาใกล้กัน เหมือนจะปวดแบบย้ายที่ (migratory arthritis) มักเป็นกับข้อเล็ก ๆ ข้อที่พบบ่อย ได้แก่ ข้อมือ ข้อเข่า ข้อเท้า และข้อนิ้วมือ อาจพบเอ็นอักเสบ (tenosynovitis) บริเวณหลังมือหลังเท้า หรือผื่นแดงที่ผิวหนังร่วมด้วย อาการปวดจะเบากว่าข้ออักเสบที่เกิดจากแบคทีเรียทั่วไปเพราะเป็นกับข้อที่ไม่ได้ใช้รับน้ำหนัก ผู้ป่วยมักอยู่ในวัยเจริญพันธุ์และมีเพศสัมพันธ์มาก่อนหน้านี้ไม่นาน อาจมีหรือไม่มีอาการของโรคหนองในก็ได้
ข้ออักเสบจากเชื้อแบคทีเรียทั่วไป มักเป็นกับข้อใหญ่ ๆ เพียงข้อเดียว (monoarthritis) พบได้ทุกวัย ข้อที่พบบ่อยที่สุดคือ ข้อเข่า รองลงมา คือ ข้อสะโพก ข้อเท้า ข้อมือ และข้อศอก และมักเกิดตามหลังการบาดเจ็บ, เป็นฝีหนองที่ผิวหนัง, ปอดอักเสบ, หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ หากมีผื่นแดงด้วยให้นึกถึงเชื้อ N. meningitidis ในเด็กเล็กมักเป็นที่ข้อสะโพก และมีกระดูกติดเชื้อร่วมด้วยเร็ว เด็กมักจะนอนนิ่งไม่ขยับ บางรายมีข้อสะโพกเคลื่อนด้วย
ข้ออักเสบจากเชื้ออื่น มักมีอาการค่อยเป็นค่อยไปกว่า อาการอาจเป็น ๆ หาย ๆ ปวดบวมไม่มาก ยังพอทำงานได้ ไข้ไม่ค่อยชัดเจน มักพบในผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ ส่วนใหญ่จะมีอาการมานานกว่า 6 สัปดาห์ เรียกว่าเป็นแบบเรื้อรัง วิธีแยกจากโรคข้ออักเสบอื่น ๆ ต้องเจาะน้ำไขข้อมาตรวจ
การวินิจฉัยโรค
โรคข้ออักเสบทุกชนิดต้องวินิจฉัยด้วยการเจาะน้ำไขข้อมาตรวจ ย้อมกรัม และเพาะเชื้อ หากเป็นข้อที่ไม่สามารถเจาะได้อาจส่งเลือดไปเพาะเชื้อแทน น้ำไขข้อที่ตรวจนับเม็ดเลือดขาวได้มากกว่า 100,000 ตัว/ลบ.มม. เป็นนิวโตรฟิลมากกว่า 90 % และมีระดับน้ำตาลในน้ำไขข้อน้อยกว่า 20 มก./ดล. จะบ่งชี้ว่าเป็นข้ออักเสบจากการติดเชื้อมากกว่าข้ออักเสบจากสาเหตุอื่นแม้การเพาะเชื้อจะไม่ขึ้นก็ตาม
โรคที่ต้องแยกจากโรคข้ออักเสบติดเชื้อในกรณีที่เป็นกับข้อใหญ่ ได้แก่ โรคเก๊าท์, โรคซูโดเก๊าท์, ภาวะข้อเสื่อมจากการใช้งานมากหรือการบาดเจ็บซ้ำ ๆ, และกลุ่มอาการของไรเตอร์ ส่วนในกรณีที่เป็นกับข้อเล็ก ๆ หลาย ๆ ข้อ ต้องแยกจากโรคไข้รูห์มาติก และโรคข้ออักเสบจากภูมิคุ้มกันอื่น ๆ ซึ่งผลเลือดและลักษณะของน้ำไขข้อก็จะต่างออกไป
ภาพถ่ายรังสีของข้อจะเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังติดเชื้อไปแล้ว 1-2 สัปดาห์ ดังนั้นจึงไม่ช่วยในการวินิจฉัย แต่แพทย์อาจส่งเอกซเรย์เพื่อใช้เทียบผลการรักษา การตรวจอื่น ๆ เช่น ultrasound, bone scan, CT scan และ MRI ก็ไม่ได้ทำเป็นประจำ แต่อาจใช้ตรวจเมื่อข้ออยู่ในตำแหน่งที่คลำไม่พบ หรือต้องการดูรายละเอียดของความเสียหายของข้อในกรณีที่ข้อผิดรูปไปมาก
การรักษา
โรคข้ออักเสบจากการติดเชื้อต้องใช้เวลาในการรักษานาน แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล การรักษาประกอบด้วยการใช้ยาและการระบายหนอง (ถ้ามี)
ยาปฏิชีวนะที่ใช้ในช่วงแรกจะเป็นยาฉีดที่ครอบคลุมเชื้อกว้าง ทั้งกรัมบวกโดยเฉพาะเชื้อ S. aureus, และกรัมลบโดยเฉพาะเชื้อ N. gonorrhea และ N. meningitidis ในเด็กเล็กยาที่ให้ควรจะคลุมเชื้อ H. influenza ด้วย เมื่อผลการเพาะเชื้อกลับมาแพทย์จึงจะเปลี่ยนยาตามความเหมาะสม ยาฉีดจะให้เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ (หรือจนกว่าไข้จะลงสนิท) แล้วจึงตามด้วยยากินให้ครบ 3-4 สัปดาห์ หากมีกระดูกติดเชื้อด้วยต้องให้ยานาน 6 สัปดาห์
หากเจาะน้ำไขข้อได้เป็นหนอง แพทย์จะทำการระบายหนองโดยการเจาะดูดออกบ่อย ๆ หรือโดยการส่องกล้องหรือผ่าตัดเปิดเข้าไปล้างในข้อ ซึ่งจะทำเฉพาะกรณีที่เป็นข้อที่ดูดยาก หรือภาพถ่ายรังสีพบมีกระดูกติดเชื้อร่วมด้วยแล้ว
ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาการมักจะดีขึ้นใน 24 - 48 ชั่วโมง แต่แม้จะรักษาหายแล้วก็พบว่าร้อยละ 75 ไม่สามารถใช้งานข้อนั้น ๆ ได้ตามปกติ