แผลริมอ่อน (Chancroid)

แผลริมอ่อนเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่ไม่ชอบออกซิเจน ชื่อ Haemophillus ducreyi เชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านรอยถลอกหรือบาดแผลเล็ก ๆ บริเวณอวัยวะเพศขณะมีเพศสัมพันธ์ จากนั้นเชื้อจะสร้างสารพิษ (HdCDT) ขึ้นมาทำให้เกิดเป็นแผลบริเวณอวัยวะเพศและมีหนองไหล ไม่สามารถหายได้เองถ้าไม่ได้รับการรักษา ผู้ที่มีแผลริมอ่อนจะง่ายต่อการติดเชื้อเอดส์มากขึ้นขณะมีเพศสัมพันธ์

อาการของโรค

หลังจากได้รับเชื้อประมาณ 3-5 วัน จะเริ่มแสดงอาการ โดยในเพศชายจะเริ่มจากมีตุ่มนูน เจ็บ ที่บริเวณเส้นสองสลึง จากนั้นจะมีแผลเล็ก ๆ หลายแผลที่องคชาต ขอบแผลนูน ไม่เรียบ ก้นแผลมีหนอง และเจ็บมาก แผลเหล่านี้อาจขยายรวมกันเป็นแผลใหญ่ แผลจะนุ่มไม่แข็ง ซึ่งต่างจากโรคซิฟิลิสที่ขอบแผลจะแข็งและไม่เจ็บ ส่วนผู้หญิงแผลจะอยู่บริเวณแคมเล็กและมักไม่เจ็บ แต่จะมีตกขาวมากและมีกลิ่นเหม็น ทั้งเพศชายและหญิงอาจมีไข้และต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต กดเจ็บได้

เชื้อ Haemophillus ducreyi จำนวนมากจะอยู่ที่หนอง หากใช้มือสัมผัสกับแผลหนองโดยตรงแล้วไม่ได้ล้างให้สะอาด เวลาเอามือไปเกาที่อื่นก็อาจพาเชื้อไปติดที่อวัยวะส่วนอื่นได้

การวินิจฉัยโรค

แผลริมอ่อนแยกจากแผลของโรคเริมตรงที่มีหนองมากกว่า และไม่แห้งหายไปเองใน 7 วันเหมือนโรคเริม ในรายที่มีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต กดเจ็บ ต้องแยกจากโรคฝีมะม่วงด้วย แต่แผลของโรคฝีมะม่วงมักจะหายไปแล้วหรือกำลังจะดีขึ้นในตอนที่มีต่อมน้ำเหลืองโต

การวินิจฉัยคร่าว ๆ อาจทำได้โดยการเอาหนองมาย้อมสีแกรม จะพบแบคทีเรียสีแดงต่อกันเป็นสายจำนวนมาก

ส่วนการวินิจฉัยที่แน่ชัดต้องอาศัยการตรวจ Polymerase chain reaction (PCR) แต่ก็มีราคาแพง และใช้เวลา ส่วนการเพาะเลี้ยงเชื้อทำได้ยาก เพราะเชื้อนี้เจริญในสภาพที่ไร้ออกซิเจน การตรวจด้วย Immunochromatography ก็มีความไวต่ำ

องค์การอนามัยโลกจึงกำหนดเกณฑ์ในการวินิจฉัยแผลริมอ่อนไว้ดังนี้ (ต้องมีครบทั้ง 5 ข้อ)

  1. มีแผลเจ็บที่อวัยวะเพศ
  2. ตรวจหนองที่แผลด้วยกล้อง darkfield ไม่พบเชื้อซิฟิลิส
  3. VDRL หลังเกิดแผล 7 วันให้ผลลบ
  4. ไม่พบหลักฐานของการติดเชื้อเริม
  5. อาการของโรคเข้าได้กับแผลริมอ่อน (เกิดแผลเร็วภายใน 7 วันหลังรับเชื้อ แผลเจ็บ มีหนองมาก ไม่หายเอง มีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ย้อมแกรมพบแบคทีเรียแกรมลบเป็นสาย)

ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นแผลริมอ่อน ควรได้รับการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย



การรักษา

แผลริมอ่อนสามารถรักษาได้ไม่ยาก แต่ต้องรักษาทั้งผู้ป่วยและคู่นอนพร้อมกัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ และควรงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหายสนิท

ยาปฏิชีวนะที่ใช้ได้ผลมีหลายชนิด เช่น

  • Azithromycin รับประทาน 1 กรัม ครั้งเดียว
  • Ceftriaxone ขนาด 250 มิลลิกรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อครั้งเดียว
  • Erythromycin รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้งนาน 7 วัน
  • Ciprofloxacin รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน (ยานี้ห้ามใช้ในสตรีตั้งครรภ์และช่วงที่ให้นมบุตร)

หากมีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตจนเป็นหนอง แพทย์อาจใช้เข็มเจาะดูดหนองออก หรือทำการผ่าตัดระบายหนอง

โดยทั่วไป แผลจะดีขึ้นชัดเจนภายใน 3 วัน และหายสนิทภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่หากแผลไม่ดีขึ้น อาจเป็นการวินิจฉัยผิด หรือผู้ป่วยมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น โรคเอดส์ ทำให้ผลการรักษาไม่ดี ส่วนต่อมน้ำเหลืองที่โตอาจหายช้ากว่าแผลที่อวัยวะเพศ โดยมักค่อย ๆ ยุบลงเอง

การป้องกัน

วิธีป้องกันที่ดีที่สุด ได้แก่

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีแผลที่อวัยวะเพศ
  • รักษาความสะอาดอวัยวะเพศหลังมีเพศสัมพันธ์
  • ไม่สำส่อนทางเพศ

สรุป

แผลริมอ่อนเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อ Haemophillus ducreyi ทำให้เกิดแผลเจ็บและมีหนองที่อวัยวะเพศ ไม่หายได้เองหากไม่รักษา อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี การวินิจฉัยต้องแยกโรคจากเริมและซิฟิลิส ส่วนการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะให้ผลดี หากรักษาพร้อมคู่นอนและหลีกเลี่ยงเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหาย ผู้ป่วยมักหายภายใน 1-2 สัปดาห์ การป้องกันที่สำคัญที่สุดคือการใช้ถุงยางอนามัยและการมีพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย