โรคคอตีบ (Diphtheria)
โรคคอตีบเกิดจากแบคทีเรียรูปแท่ง กรัมบวก ชื่อ Corynebacterium diphtheriae ติดต่อทางการหายใจ และทำให้เกิดการอักเสบของทางเดินหายใจส่วนบน เช่น จมูก คอ ทอนซิล กล่องเสียง โดยเชื้อดิบทีเรียจะสร้างสารพิษ (exotoxin) มาทำลายเนื้อเยื่อในบริเวณที่มันฝังตัวอยู่ เกิดเป็นแผ่นเนื้อตายสีเทาขนาดใหญ่ ซึ่งอาจปิดกั้นทางเดินหายใจในเด็ก อุบัติการณ์ของโรคคอตีบพบน้อยลงมากหลังจากที่เริ่มมีการใช้วัคซีน DPT
อาการของโรค
เด็กที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนจะเป็นโรคคอตีบได้บ่อยในช่วงอายุ 1-6 ปี ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 2-4 วัน อาการแบ่งตามตำแหน่งที่ติดเชื้อได้ดังนี้
- โรคคอตีบที่จมูก ในระยะแรกจะมีเพียงน้ำมูกใส ต่อมาน้ำมูกจะมีเลือดปน บางครั้งมีกลิ่นเหม็น มีการลอกของเนื้อเยื่อบริเวณจมูก ถ้าคลำดูจะพบแผ่นเยื่อแข็ง ๆ อยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างรูจมูกทั้งสองข้าง ถ้าพยายามแกะจะมีเลือดออก โรคคอตีบที่จมูกอาการมักไม่รุนแรง บางรายอาจไม่รู้สึกว่ามีไข้ด้วยซ้ำ
- โรคคอตีบที่คอหอยและทอนซิล
ผู้ป่วยจะค่อย ๆ มีไข้ เจ็บคอ อาจพบมีต่อมน้ำเหลืองโต ต่างจากโรคคอและทอนซิลอักเสบจากเชื้อ Streptococcus ที่มักมีไข้สูงเฉียบพลัน เจ็บคอมาก และพบจุดหนองที่ทอนซิลอย่างรวดเร็ว แผ่นเยื่อตายสีเทาของโรคคอตีบจะเริ่มพบตั้งแต่วันที่ 3 เป็นต้นไป ระหว่างนี้ไข้จะเริ่มสูงขึ้น และอาการเจ็บคอจะค่อย ๆ เป็นมากขึ้น ในเด็กเล็กรีบพาไปรักษา มิฉะนั้นเนื้อเยื่ออาจลุกลามจนปิดทางเดินหายใจ
- โรคคอตีบที่กล่องเสียง มักเกิดจากการลุกลามของโรคคอตีบที่คอหอยลงไป ผู้ป่วยจะมีคอบวม เสียงแหบ กลืนลำบาก หายใจฝืด และหายใจมีเสียงดัง หลังจากที่มีอาการเจ็บคอได้สักพัก ระยะนี้ต้องรีบพบแพทย์โดยด่วน
- โรคคอตีบที่อื่น ๆ เกิดจากสารพิษของเชื้อถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต ทำให้เกิดเนื้อตายในอวัยวะต่าง ๆ เช่น ที่ผิวหนัง เยื่อบุตา ใบหู ช่องคลอด หัวใจ สมอง เป็นต้น สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตคือการที่สารพิษทำลายกล้ามเนื้อหัวใจและระบบประสาท อาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและหัวใจล้มเหลวมักพบในสัปดาห์ที่ 2 ส่วนอาการอัมพาตของกล้ามเนื้อต่าง ๆ เช่น ตา คอหอย กระบังลม แขนขา มักพบในสัปดาห์ที่ 3 ของโรค
การวินิจฉัยโรค
การยืนยันโรคทำได้โดยการเพาะเชื้อจากแผ่นเนื้อตายที่เกิดขึ้น แต่เนื่องจากการเพาะเชื้อต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 วัน การรักษาควรเริ่มทันทีเมื่อสงสัยโรค โรคที่มีอาการคล้ายกันและพบได้บ่อยกว่าคือ โรคคอและทอนซิลอักเสบจากเชื้อสเตรปโตค็อกคัส และโรคติดเชื้อโมโนนิวคลีโอสิส ผลเพาะเชื้อและการตรวจนับเม็ดเลือดจะช่วยแยกโรคเหล่านี้ออกจากกัน
การรักษา
การรักษาโรคคอตีบต้องให้ยาต้านสารพิษ (Diphtheria antitoxin: DAT) ร่วมกับยาปฏิชีวนะ เช่น Penicillin เพื่อกำจัดเชื้อโดยตรง ระหว่างที่อาการเจ็บคอยังไม่ดีขึ้นต้องระวังภาวะทางเดินหายใจอุดตันและภาวะหัวใจเต้นผิดปกติอยู่ตลอดเวลา
พยากรณ์โรค
หากได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและถูกต้อง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้ แต่ในรายที่วินิจฉัยช้า หรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น การอุดกั้นทางเดินหายใจ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรืออัมพาตของกล้ามเนื้อสำคัญ อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ อัตราการเสียชีวิตพบสูงกว่าหากผู้ป่วยเป็นเด็กเล็ก หรือไม่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านสารพิษทันเวลา
การป้องกัน
วัคซีน DPT สามารถป้องกันโรคคอตีบได้ โดยให้ในเด็กอายุ 2 เดือน, 4 เดือน, 6 เดือน, 1 ปี และ 5 ปี แม้ผู้ที่เคยป่วยแล้วก็ควรได้รับวัคซีนเพิ่มเติม เนื่องจากการติดเชื้อไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันถาวร และยังอาจเป็นซ้ำได้
ผู้ที่ใกล้ชิดหรือดูแลผู้ป่วยโรคคอตีบ หากยังไม่เคยได้รับวัคซีน ควรได้รับทั้งยาปฏิชีวนะและวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
สรุป
โรคคอตีบเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อ Corynebacterium diphtheriae ติดต่อทางการหายใจ และอาจทำให้เกิดการอักเสบและเนื้อตายที่ทางเดินหายใจจนปิดกั้นได้ อันตรายจากโรคนี้คือผลของสารพิษที่ทำลายหัวใจและระบบประสาท การวินิจฉัยต้องอาศัยการเพาะเชื้อ แต่การรักษาควรเริ่มทันทีที่สงสัย โดยใช้ยาต้านสารพิษและยาปฏิชีวนะ การป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการฉีดวัคซีน DPT ครบตามกำหนด ซึ่งช่วยลดอุบัติการณ์โรคได้อย่างมาก ผู้ดูแลผู้ป่วยหรือผู้ที่ใกล้ชิดควรได้รับวัคซีนและยาป้องกันเช่นกัน เพื่อหยุดการแพร่กระจายของโรค