โรคไฟลามทุ่ง (Erysipelas)

โรคไฟลามทุ่งเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง โดยเริ่มตั้งแต่ชั้นหนังแท้ขึ้นไป ไม่ลุกลามลงไปถึงชั้นไขมันหรือเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง เชื้อที่พบบ่อยที่สุดคือ Streptococcus ซึ่งมักเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลเล็ก ๆ หรือแม้แต่เพียงรอยถลอกเล็กน้อย จากนั้นจะแพร่เข้าสู่ระบบน้ำเหลืองของผิวหนังอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการอักเสบเป็นปื้นแดง กดเจ็บ และแผ่ขยายอย่างรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง ผู้ที่มีภาวะบวมน้ำเหลืองคั่ง (lymphedema) มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ซ้ำบ่อย ๆ

อาการของโรค

ผู้ป่วยมักมีประวัติการเกิดบาดแผลหรืออุบัติเหตุเล็กน้อยก่อนหน้า แต่อาจไม่ทันสังเกต เช่น จากการเกาจนผิวหนังถลอก อาการเริ่มแรกคือมีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย และภายใน 48 ชั่วโมงจะเริ่มเห็นรอยโรคที่ผิวหนัง ลักษณะเป็นปื้นนูนแดง ร้อน กดเจ็บ ขอบชัด แยกจากส่วนของผิวหนังที่ปกติได้อย่างชัดเจน ต่างจากลักษณะของโรคเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (cellulitis) ที่ไม่นูน ขอบไม่ชัด เพราะเป็นการอักเสบของผิวหนังชั้นที่ลึกลงไปอีก

ผู้ป่วยมักตกใจเพราะรอยแดงแผ่ขยายกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว บางรายที่เป็นมาก ผิวหนังที่แดงจะเกิดเป็นตุ่มน้ำ ต่อมาจะแตก มีหนังกำพร้าหลุดลอก ส่วนใหญ่ยังพบว่าต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงโตขึ้นด้วย

ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย คือ การพัฒนาเป็นโพรงฝี การเกิดเนื้อตาย (gangrene) ในบริเวณที่บวมมากจนเลือดมาเลื้ยงไม่ได้ และการเกิดหลอดเลือดดำอักเสบในบริเวณใกล้เคียง ในเด็กมีโอกาสเกิดปฏิกริยาภูมิคุ้มกันจนเกิดโรคไตอักเสบ (glomerulonephritis) หรือโรคไข้รูมาติกได้ในภายหลัง

การวินิจฉัยโรค

โรคไฟลามทุ่งวินิจฉัยจากอาการและลักษณะทางคลินิกเป็นหลัก การเพาะเชื้อทั้งจากเลือดและผิวหนังมีโอกาสพบเชื้อได้น้อยมาก การตรวจนับเม็ดเลือดอาจช่วยสนับสนุนว่าเป็นจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไม่ใช่โรคผิวหนังอักเสบโดยทั่วไป



การรักษา

การรักษาที่สำคัญคือการให้ยาปฏิชีวนะ โดยมักเลือกใช้กลุ่ม Penicillin (ทั้งแบบฉีดหรือรับประทาน) หรือกลุ่ม Macrolides ต่อเนื่องประมาณ 10 วัน ร่วมกับการรักษาตามอาการ ได้แก่ การยกอวัยวะที่บวมให้อยู่สูงเพื่อลดอาการบวม การให้ยาแก้ปวดลดไข้ และการล้างแผลวันละ 2 ครั้งหากมีผิวหนังหลุดลอก โดยทั่วไปผู้ป่วยจะตอบสนองต่อการรักษาได้ดี รอยโรคจะค่อย ๆ หายภายใน 7 วัน

การป้องกัน

  • ตัดเล็บให้สั้นและสะอาด หลีกเลี่ยงการเกาผิวหนังแรง ๆ จนเกิดแผล
  • ดูแลผิวหนังให้สะอาดและชุ่มชื้น หลีกเลี่ยงการปล่อยให้แห้งแตก
  • หากมีภาวะบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรเข้ารับการตรวจอัลตราซาวน์เพื่อหาการอุดตันของระบบน้ำเหลือง
  • ผู้ที่เคยเป็นโรคไฟลามทุ่งซ้ำ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาปัจจัยเสี่ยงและอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะป้องกันตามคำแนะนำของแพทย์

สรุป

โรคไฟลามทุ่งเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง ซึ่งแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและทำให้เกิดผื่นแดงนูน ขอบเขตชัดเจน มักมีอาการไข้และอ่อนเพลียร่วมด้วย แม้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะจะได้ผลดี แต่หากปล่อยไว้อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ การดูแลผิวหนังให้สะอาด หลีกเลี่ยงการเกิดบาดแผลเล็ก ๆ และการตรวจรักษาอย่างรวดเร็วเมื่อมีอาการผิดปกติ เป็นวิธีสำคัญในการป้องกันโรคนี้